ไม่ทราบว่าเพราะประหยัดมากไปหรือกินตับหมูมากเกินจนเกิดปฏิกิริยากับน้ำเชื้อ จักรพรรดิเต้ากวงจึงได้มีพระโอรสที่อ่อนแอและพระโอรสองค์ที่อ่อนแอนี้ก็ได้เป็นฮ่องเต้ต่อจากพระองค์ ทรงพระนามว่า... จักรพรรดิเสียนเฟิง เป็นกษัตริย์จีนอีกพระองค์ที่ขึ้นสู่บัลลังก์ด้วยนิยายปรัมปรา ในประวัติศาสตร์จีนมักจะมีนิทานปรัมปราคู่บัลลังก์นิทานนั้นมีอยู่ว่า ฮ่องเต้พระองค์หนึ่งมีลูกชายที่เล็งไว้แล้วว่าจะให้สืบทอดบัลลังก์ต่อจากพระองค์สององค์ องค์หนึ่งเก่งกาจบู๊บุ๊นอีกองค์มักจะป่วยไข้เจ็บออด ๆ แอด ๆ และจะมีฉากต่อไปว่าฮ่องเต้จะจัดงานล่าสัตว์ขึ้น องค์ชายองค์หนึ่งจะได้สัตว์มาล้นเข่งแต่อีกองค์จะไม่ได้เลยแล้วบอกว่า...
"นี่เป็นฤดูที่สัตว์มักผสมพันธ์ ลูกเห็นว่ามันเป็นการโหดเหี้ยมที่จะฆ่าสัตว์เหล่านั้น เลยไม่ได้ล่ามา"
คำตอบอย่างนี้ดูเหมือนเป็นคำตอบที่ดูดีมีเมตตาแต่จริง ๆ แล้วมันเป็นแค่คำตอบที่เสี้ยมที่สอนกันมาโดยที่ปรึกษาขององค์ชายซึ่งในประวัติศาสตร์มีเรื่องเล่าแบบนี้ไม่ต่ำกว่าสี่เรื่อง แม้แต่ในชุนชิวถ้าข้าพเจ้าเข้าใจไม่ผิดและจำไม่พลาดก็มีเรื่องเช่นนี้เหมือนกัน นั่นคือที่มาของจักรพรรดิเสียนเฟิง จักรพรรดิผู้ทรงอัปยศที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติจีน เพราะในสมัยเสียนเฟิงนี้เองที่รับช่วงความอ่อนแอมาจากพระราชบิดา ความเสียหายจากสงครามฝิ่นและยังมามีเรื่องกับอังกฤษและฝรั่งเศสในสมัยปรัตยุบันทำให้เสียดินแดนเพิ่มต้องเผชิญหน้ากับการกดขี่ของต่างชาติและเสียเมืองท่าสำคัญมากมาย มีศึกประชิดติดกรุงจนเป็นกษัตริย์เพียงไม่กี่องค์ของแผ่นดินจีนที่ต้องลี้ภัยต้องออกจากวังต้องห้ามเพื่อหนีตาย นับว่าเป็นความอัปยศมาก เพราะคนเป็นกษัตริย์ถ้ารักษาแผ่นดินของตัวเองไว้ไม่ได้แล้วไม่ว่าจะเชิงสัญญาเช่าหรือเสียถาวรก็ไม่ควรจะมีหน้ามาปกครองแผ่นดิน
เราหยุดเรื่องไว้แต่เพียงนี้ก่อนเพราะเรื่องที่ข้าพเจ้าจะเขียนถึงนั้นเป็นเรื่องของคน ๆ หนึ่งชื่อ เปอะจุ้น คน ๆ นี้เป็นถึงมหาบัณฑิตในราชสำนักมียศอำมาตย์ช่วยกิจการบ้านเมืองมากมาย เป็นคนดีที่ไม่ต้องประกาศเพราะชาวบ้านรากหญ้าต่างยกย่องและเป็นคนที่บัณฑิตนิยมแม้บัณฑิตเร้นกายก็ยังชื่่นชอบ ในยุคนั้นคนมีความรู้ความสามารถเบื่อหน่ายกับราชสำนักที่ฟอนเฟะและเต็มไปด้วยระบบพวกพ้องจึงชังการเป็นขุนนาง แต่ถ้ามีประกาศว่า เปอะจุ้น เป็นผู้คุมสอบบัณฑิตเหล่านั้นก็พร้อมออกมาจากม่านกำบังและสอบเข้ารับราชการเพราะเชื่อถือว่าจะได้รับความเป็นธรรมและการตัดสินของเปอะจุ้นก็ไม่มีการเอาพวกพ้องเป็นเกณฑ์ แต่ตำแหน่งแม่กองคุมสอบนี้ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ค่อยจะมีใครอยากรับตำแหน่งเพราะถือว่าโกงกินได้น้อยแต่ถ้าคนมองการณ์ไกลก็จะทราบว่าราชสำนักแมนจูนั้นมีโครงสร้างที่เอื้อกับระบบพวกพ้อง ถ้าได้เป็นแม่กองคุมการสอบบัณฑิตก็จะยิ่งทำให้ตัวเองมีอำนาจและบารมีมากขึ้นในทันทีเช่นกัน
ในเวลานั้นราชสำนักมีกังฉินหน้าใหม่ป้ายแดงเพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาเขามีนามกรว่า ซูซุ่น คนผู้นี้มีจิตใจมักใหญ่ใฝ่สูงในหัวสมองเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมคิดทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้เป็นใหญ่ไม่มีการเลือกวิธี ใครขวางทางจะถูกเขาใส่ร้ายและกำจัดทิ้งอย่างเหี้ยมโหด ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่ซูซุ่นกำจัดทิ้งมักเป็นคนที่ทั้งแผ่นดินยกย่องว่าดี ซูซุ่นไม่เพียงแต่โหดร้ายแต่เขายังอกตัญญูอีกด้วยเพราะเมื่อพูดถึงซูซุ่นก็ต้องพูดถึงคนดีศรีต้าชิงอย่าง อ๋องกง คนนี้เป็นพี่น้องกับองค์เสียนเฟิงแต่ก็ต้องถูกบีบให้ออกจากราชการงานเมืองเพราะเจอคนอย่าง ซูซุ่น เล่นงานใส่ร้าย ถ้าคนอ่านประวัติศาสตร์ยุคนี้ก็จะเห็นว่าความอัปยศที่เกิดขึ้นในยุคนี้นับได้ว่าเป็นความผิดพลาดของซูซุ่นถึงกว่าแปดสิบเปอร์เซนต์ เพราะความเอาพวกพ้อง อยากได้หน้า นิสัยชอบเพ็ดทูลใส่ร้ายคนดี ทำให้แผ่นดินอ่อนแอจนเสียเปรียบต่างชาติและเกิดกลียุคในประเทศ คงไม่ผิดนักที่จะบอกว่า ซูซุ่น คือตัวการทำให้ราชวงศ์ชิงต้องเจอทั้งศึกในและนอก แต่ประกอบกับว่าฮ่องเต้ก็โง่งี่เง่า สุขภาพก็ไม่ดีปัญญายังอ่อน แผ่นดินจึงไม่มีเสาหลักคอยคุ้มกัน
ในยามนั้นซูซุ่นต้องการขยายบารมีและอิทธิพลของตนเองจึงหมายมั่นที่จะได้ตำแหน่งหรือเพียงให้คนของตนเองได้ตำแหน่งแม่กองคุมสอบ แต่มีพระราชโองการไปแล้วว่าให้ เปอะจุ้น เป็นคนคุมอีกและเปอะจุ้นก็เป็นคนของอ๋องกงที่ตนเกลียดชังจึงหาทางใส่ร้ายป้ายสี ซูซุ่นสร้างแผนการและใช้เส้นสนกลในจึงทำให้เกิดความผิดพลาดในการสอบ จอหงวนในปีนั้นได้แก่คนแบกเกี้ยวที่ไม่มีความรู้จึงเป็นที่ติฉินของเหล่าบัณฑิตและผลตรวจสอบก็เป็นความผิดพลาดจริง ๆ แต่มิใช่เป็นความผิดพลาดโดยตรงของเปอะจุ้น แต่ซูซุ่นก็ไม่ปล่อยโอกาสเพ็ดทูลต่าง ๆ ยัดเยียดข้อหาต่าง ๆ จนเปอะจุ้นต้องถูกลงโทษอย่างไม่เป็นธรรม โทษของเปอะจุ้นเพียงเล็กน้อยแค่ริบทรัพย์สินก็ถือว่าหนักหนาแต่ซูซุ่นดำเนินการเพ็ดทูลให้องค์กษัตริย์ที่สุขภาพไม่ดีและยังงี่เง่าจนดำเนินการประหารเปอะจุ้นเป็นผลสำเร็จ
แผ่นดินทุกแผ่นดินนั้นย่อมมีกังฉินตัวใหญ่บ้างเล็กบ้างขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของเจ้าแผ่นดิน ถ้าเจ้าแผ่นดินอ่อนแอกังฉินตัวนั้นก็จะดูใหญ่คับบ้านคับเมือง ถ้าเจ้าแผ่นดินแข็งแรงกังฉินตัวนั้นอาจถูกปราบเบ็ดเสร็จหรือไม่กล้าบังอาจทำตัวเลวทรามหรือไม่ได้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งสำคัญ อย่างเช่นยุคของ หย่งเจิ้น คังซี จะเป็นยุคที่ไม่มีกังฉินตัวฉกาจฉกรรจ์เลยเพราะถึงมีก็เจอความเข้มแข็งและสติปัญญาที่เฉียบคมของเจ้าแผ่นดินกำราบลงได้อย่างง่ายดาย กษัตริย์ทุกพระองค์มักนิยมให้ขุนนางและอำมาตย์เทิดทูนชอบเสพคำสรรเสริญเป็นอาหารว่างยามจิบชา นอกจากคำว่า "ทรงพระเจริญ" ก็ยังมีคำว่า "ทรงพระปรีชาสามารถ" ทั้ง ๆ ที่เรื่องที่เสนาอำมาตย์เหล่านั้นชมก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ใครก็ทำได้แต่เหมือนว่าสัตว์โลกที่มีฐานะเป็นฮ่องเต้นั้นจะชอบและดื่มด่ำกับคำนั้นจนทำให้หลงตัวเองว่าข้าเก่งข้าแน่เสียเหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่พอเรื่องบางเรื่องหลุดรอดออกมาสู่ชาวบ้านแล้วเขาจะแสยะปากแล้วพูดว่า "ปัญญาอ่อนก็ตามที" เพราะถ้าฮ่องเต้ปรีชาสามารถจริงคงไม่ปล่อยให้มีอำมาตย์เหิมเกริมกลั่นแกล้งประชาชนและแกล้งคนดี ถ้าฮ่องเต้ปรีชาสามารถจริงคงไม่ให้คนสารเลวได้ดีและยกให้เป็นที่เคารพของประชาชนทั่วไป แต่เพราะฮ่องเต้ปัญญาอ่อนซ้ำยังสุขภาพไม่ดี อำมาตย์จึงเหิมเกริม เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าสมัยเสียนเฟิงฮ่องเต้นั้นช่วงบั้นท้ายของพระองค์เจอโรครุมเร้าจนให้ซูซุ่นได้บริหารงานแทนความเหิมเกริมของมันจึงมากเป็นทวีคูณ
จุดจบของซูซุ่นสุดท้ายแล้วก็ลงเอยเหมือนดั่งเหอเซินและจบชีวิตเหมือนกังฉินทั่ว ๆ ไปในแผ่นดินจีน แต่ต้องยกมาเปรียบกับเหอเซินเพราะว่าซูซุ่นในแผ่นดินเก่า แผ่นดินของเสียนเฟิง ฮ่องเต้ผู้มีสุขภาพอ่อนแอและปัญญาอ่อนนั้นฮ่องเต้ได้ให้ท้ายและหลงเชื่อมากมายทำให้คนดี ๆ ไม่อาจกำจัดมันลงได้ เช่นเดียวกับเหอเซินเลวแสนเลวชั่วแสนชั่วแต่อยู่ในแผ่นดินเฉียนหลงแม้มีความผิดก็ไม่อาจลงทัณฑ์ แต่พอสิ้นรัชกาลก็เจอบาปกรรมตามตัว แต่ผลกรรมความแค้นความเจ็บปวดเหล่านั้นไม่ได้เพียงแค่ตกอยู่กับกลุ่มขุนนางหากแต่ตกมาถึงชาวบ้านที่เจอขุนนางชั่วนั้นกดขี่ ที่ต้องรอคอยเพียงแต่ว่าเมื่อไหร่จะเปลี่ยนแผ่นดินคนเหี้ย ๆ ถึงจะตายเท่านั้นเอง ในยุคของเสียนเฟิงและเฉียนหลงชาวบ้านผู้เดือดร้อนแม้ไม่ได้เกลียดฮ่องเต้เป็นการส่วนตัวแต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าก็ต้องมีการสาปแช่งให้เฉียนหลงและเสียนเฟิงตาย เพราะฮ่องเต้สององค์นั้นให้ท้ายและโง่เง่าที่ปล่อยให้ขุนนางเลว ๆ ครองเมือง
จริงไหม ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น