บทความนี้เป็นรอบที่สามที่ข้าพเจ้าได้เขียนเกี่ยวกับชายในประวัติศาสตร์ที่มีนามว่า เหอเซิน และวันนี้ก็คงจะเขียนอีกและก็คงจะเป็นทีสุดท้ายที่ข้าพเจ้าจะเขียนถึงชายผู้นี้และฉบับนี้น่าจะเป็นฉบับที่มีครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่ข้าพเจ้าจะทำได้
ไม่มีคนสนใจประวัติศาสตร์จีนคนไหนในโลกนี้จะไม่รู้จักชายที่ชื่อว่า เหอเซิน ชายผู้ถูกจัดอันดับให้เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกห้าสิบอันดับในรอบพันปี เขาผู้นี้เริ่มต้นชีวิตราชการด้วยการเป็นมหาดเล็กตำแหน่งน้อย ๆ เท่าที่สืบค้นหาความได้เห็นเขาว่ากันว่าเป็นเพียงคนหามเกี้ยว บางตำราก็อวดอ้างว่าเป็นขันที บ้างก็ว่าเป็นขันทีที่ตอนไม่เกลี้ยงเกลา ดังนั้นข้าพเจ้าจะยึดเอาไว้แต่ข้อมูลที่ปรากฏว่า เหอเซิน เป็นมหาดเล็ก จะว่าไปแล้วคนที่เริ่มต้นด้วยตำแหน่งเล็ก ๆ แค่นี้ไม่น่าจะก้าวถึงอันดับเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกในรอบหนึ่งปีได้เลย และก็จะยิ่งตกใจที่สืบค้นเข้าไปพบว่า คนอย่าง เหอเซิน เป็นที่เรียกว่า ความชั่วมีความดีไม่ปรากฏ แต่กระนั้นในรัชสมัยของจักรพรรดิเฉียนหลงแห่งราชวงศ์แมนจู เขาก็ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี อยู่ใต้หนึ่งคนแต่เหนือคนทั้งหล้า
มีคำหนึ่งที่เป็นคำคมของ เหอเซิน เขาได้พูดกับ ฟุคังอัน ราชโอรสลับของเฉียนหลงว่า "ท่านจะหาญกล้าก่อการกบฏทำ ในเมื่อทุกวันนี้เราแบกฮ่องเต้เพียงคนเดียวก็อยู่ดีมีสุข แต่คนที่เป็นฮ่องเต้นั้นต้องแบกทั้งประเทศ" เป็นคำพูดที่ฟังแล้วก็คิดได้ว่าคน ๆ นี้ถ้าไม่เป็นคนที่ฉลาดล้ำก็เป็นคนโลภที่รู้จักพอเพียง
ในยุคสมัยของเฉียนหลงฮ่องเต้เป็นยุคที่บ้านเมืองเจริญถึงขีดสุด แม้จะมีการกบฏประปรายแต่โดยรวมแล้วถือว่าประเทศนั้นสงบร่มเย็น แต่ในแวดวงราชการจะรู้กันดีว่าไม่เคยมีความสงบเกิดขึ้นเพราะคนชื่อ เหอเซิน เหอเซินหลังจากได้พบกับองค์เฉียนหลงแล้วเขาก็ได้รับการโปรดปรานไว้วางพระราชหฤทัยมิใช่ว่าทำงานเก่งแต่เป็นคนที่รู้จักเอาใจคน รู้ว่าฮ่องเต้องค์นี้ชอบเสเพลก็พาลัดเลาะไปเที่ยวซ่องนางโลม ตามติดพระองค์ท่านผจญภัยไปในที่ต่าง ๆ พาฮ่องเต้ไปท่องเที่ยวและเด็ดดอกไม้แห่งเมืองหยังโจว เพราะเริ่มต้นจากการช่างซอกแซกก็ทำให้เหอเซินได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยค่อย ๆ เลื่อนลำดับและเจริญเติบโตขึ้นมา แม้ในยุคเฉียนหลงนั้นจะมีการรับเข้าราชการด้วยการสอบจอหงวนเป็นหลักแต่สุดท้ายแล้วคนที่ได้ดีก็คือคนที่ไร้การศึกษาใด ๆ อย่างเหอเซิน
จากคนหามเกี้ยวก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญต่าง ๆ จากตำแหน่งสำคัญเข้าควบคุมกรมกองต่าง ๆ ในยุคนั้นทุกคนรู้กันดีว่าอยากได้ดีต้องเป็นพวกของเหอเซิน แม้จะมีอำนาจอยู่ในมือแต่เหอเซินก็ไม่เคยลดละความโลภเขาได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการฉ้อราษฏร์บังหลวง ไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้างตำหนักใหม่ ๆ หรืออุทยานต่าง ๆ ในยุคนั้น เหอเซินเป็นคนจัดการทั้งสิ้นแต่ที่เห็นเป็นกอบเป็นกำที่สุดก็คือการจำลองเมืองหยังโจวมาไว้ในนครหลวงปักกิ่ง ไม่เพียงแต่แค่นั้นเขาก็ยังรับสินบนและซื้อขายตำแหน่ง ไม่ว่าใครอยากจะได้ตำแหน่งอะไรที่ราชสำนักเปิดรับเพียงเอาเงินไปให้เหอเซินก็จะได้เข้างานในทันที
สิ่งนี้ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงในเมืองไทยล่ะเพราะมีคนหนึ่งในเมืองไทยเหมือนกันที่คล้าย ๆ เหอเซิน แม้ขนาดได้เป็นนายกรัฐมนตรีมีอำนาจเต็มในการปกครองประเทศแต่ก็ยังต้องขอเข้าพบบุคคลท่านนี้ ทายสิใครเอ่ย...
กลับมาที่เหอเซินเพราะจุดประสงค์อยู่ที่คน ๆ นี้ จากสิ่งที่เขาทำทำให้เขาได้รับผลประโยชน์อย่างมากมาย เป็นที่รู้กันทั่วทั้งประเทศในยุคนั้นว่าคนที่ร่ำรวยและทรงอำนาจที่สุดก็คือคน ๆ นี้ ดังนั้นก็มีหลายคนที่อยากกำจัดเขาออกไปเพื่อไม่ให้เป็นปลวกคอยกัดกินประเทศ แต่ผลที่คนเหล่านั้นได้รับคือการตอบโต้อย่างเจ็บแสบโหดร้ายและบางครั้งก็ถูกกวาดล้างถึงกับชีวิตเลยก็มี ดังนั้นจึงมีคนมากมายที่รังเกียจชื่อนี้เข้าไส้ เหอเซินถูกฟ้องร้องเรียนนับครั้งไม่ถ้วนและการฟ้องร้องแต่ละครั้งนั้นก็มีหลักฐานเด่นชัดพอที่จะเอาผิดได้ แต่เหอเซินก็รอดมาได้ทุกครั้งและหลายหนที่องค์จักรพรรดิเองออกปากปกป้องกังฉินผู้ลือนามคนนี้ ไม่ว่าความผิดจะเป็นสถานใดเฉียนหลงก็ทำได้แต่ให้คนที่เป็นตัวเล็ก ๆ รับโทษไม่เคยให้เหอเซินต้องได้รับเลยแม้สักครั้งเดียว ข้าพเจ้าอ่านเองก็ไม่เข้าใจเองเพราะเนื่องจากว่าคนจีนยกย่องกษัตริย์เฉียนหลงกันนักว่าเก่งว่าฉลาดเป็นนักปกครองที่ดีแต่เหตุใดถึงเอากังฉินเช่นเหอเซินไว้ข้างตัว
ข้าพเจ้าเคยตั้งข้อสันนิษฐานที่ไม่มีในตำราว่าเพราะเหอเซินเป็นคนสนิทที่รู้ใจและซุกซนมาด้วยกัน อยู่ด้วยกันมานานเลยเมตตาสงสาร แต่คนเราถ้าผิดหนึ่งครั้งสองครั้งยังพออภัยแล้วเหตุใดถึงให้อภัยเหอเซินชนิดที่นับครั้งไม่ได้เช่นนี้ ดังนั้นข้อสันนิษฐานที่สองก็ตามมาโดยพลันเพราะเหอเซินเป็นคนที่ล่วงรู้ความรับหลายอย่างขององค์เฉียนหลง เนื่องจากเป็นคนสนิทและรู้เห็นการออกท่องเที่ยงการชอบเที่ยวเจ้าสำราญดังนั้นก็ต้องมีเรื่องลับเรื่องปกปิดมากมายที่ซุกซ่อนเอาไว้ แม้มีสองข้อสันนิษฐานอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่สุดแต่ข้อมูลที่มีมาก็เพิ่มเป็นข้อสันนิษฐานเพิ่มขึ้นมาอีก ข้อสันนิษฐานนี้ถือเป็นข้อสันนิษฐานที่ค่อนข้างลี้ลับพอสมควรแต่ก็เป็นข้อสันนิษฐานที่คนจีนกล่าวขวัญกัน ข้อสันนิษฐานนี้คงไม่ใช่จะกล่าวว่าเป็นข้อสันนิษฐานได้เต็มปากเพราะที่ถูกต้องแล้วควรเรียกว่า ตำนานลี้ลับของจักรพรรดิเฉียนหลง
ตำนานนั้นมีอยู่ว่า สมัยที่จักรพรรดิเฉียนหลงเป็นวัยรุ่นนั้นชอบไปเล่นหัวกับเหล่านางใน แล้วมีอยู่วันหนึ่งก็ไปหยอกนางในคนหนึ่งให้ตกใจบังเอิญนางในคนนั้นถือของหนักอยู่พอตกใจก็หันเอาของมากระแทกที่หัวขององค์ชายผู้ซุกซนจนเหลืออาบเป็นแผล พอเสด็จแม่ขององค์ชายนั้นได้เห็นเข้าก็ไปสืบหาความจริงแล้วลงโทษนางในคนนั้นให้ตายอย่างเหี้ยมโหด พอองค์ชายทรงไปเจอเข้าก็เกิดฉากดราม่ากอดศพนางในร้องห่มร้องไห้ก่อนจะกัดนิ้วและเอาเลือดแต้มที่ไหปลาร้าของนางในคนนั้น (ทำไมไม่เอาเลือดที่ไหลออกจากหัวแต้ม กัดนิ้วให้เจ็บเพิ่มทำไม ข้าพเจ้าสงสัย) แล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า "เกิดมาชาติใดถ้าข้าได้เจอเจ้าจะชดใช้ให้ถึงขนาด" ถามว่าถ้าเรื่องราวเป็นแบบนี้จะพอเป็นไปได้ไหม ก็ต้องตอบอย่างคนไทยว่ามันเป็นไปได้และน่าแปลกที่คนไทยกับจีนมีตำนานเรื่องแบบนี้เหมือนกัน
ไม่ต้องอื่นใด แม้แต่เกจิอาจารย์โบราณของไทยเทพเจ้าแห่งเมืองสี่แควหรือหลวงพ่อเดิมแห่งวัดหนองโพก็มีตำนานคล้าย ๆ แบบนี้ คือทำตำหนิไว้ตอนตายแล้วเกิดมาพบตำหนิ (ส่วนปลีกย่อยก็ต่างกันไปตามส่วน) ซึ่งถ้าคนไทยเชื่อเรื่องเช่นนี้ดังนั้นเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมืองจีนมีเรื่องทำนองนี้เช่นเดียวกัน ตามข้อมูลนี้เชื่อว่าเหอเซินมีปานแดงที่ไหปลาร้าและมีหน้าตาละม้ายคล้ายนางในคนนั้นเฉียนหลงจึงเชื่อและตั้งใจที่จะตอบแทนทุกอย่างเพื่อชดเชยความผิดที่เคยทำลงไป ถ้าเราเชื่อตามนี้ก็จะตอบโจทย์ได้ทั้งหมดว่าจอมราชันย์อย่างเฉียนหลงถึงปล่อยปละละเลยในการเอาผิดเหอเซินและปล่อยให้เหอเซินกระทำการบังอาจต่อไป
แต่ในโลกนี้มันเต็มไปด้วยปริศนาสิ่งใดที่ผู้มีอำนาจต้องการปกปิดก็จะดึงเรื่องทั้งหมดเข้าสู่เรื่องลี้ล้บ อย่างเรื่องเฉียนหลงฮ่องเต้นั้นข้าพเจ้าไม่เชื่อเรื่องตำนานสิ่งนี้เพราะข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าคนเราจะมีน้ำอดน้ำทนและให้อภัยกันหลายหนมากถึงขนาดนั้น คนเราจะมานั่งชดใช้ทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายความเลวประจักษ์ไปทั้งสามภพนั้นก็คงจะกระไรอยู่ ข้าพเจ้าจึงเชื่อว่าเป็นเพราะสองคนนี้สนิทกันและอีกฝ่ายนั้นรู้ความลับอะไรไว้มากมาย เพราะถ้ามุ่งร้ายหรือฆ่าทิ้งความลับที่ไม่พึงประสงค์ก็จะหลุดรอดออกไป
แต่โลกนี้ยังมีกฏแห่งกรรม แม้เหอเซินจะรีดนาทาเร้นและทำเลวทำชั่วมาตลอดโดยมีฮ่องเต้ทรงป้องปกแต่ฮ่องเต้ก็ไม่อยู่ค้ำฟ้าท่านชิงสวรรคตและปล่อยให้เหอเซินต้องเผชิญหน้ากับเจี่ยชิงฮ่องเต้ที่ไม่พอใจเหอเซินตั้งแต่เป็นองค์รัชทายาท และเป็นที่มาของสำนวน "เหอเซินล้มกลิ้ง เจี่ยชิงอิ่มท้อง" มันเป็นภาษิตจีนแต่ข้าพเจ้าจนปัญญาจะพิมพ์คำจีนให้อ่านเลยเอาแต่ที่แปลเป็นไทยแล้วมาให้ได้อ่านกัน เจี่ยชิงลงโทษและริบทรัพย์สินทั้งหมดของเหอเซิน แค่ตัวเงินอย่างเดียวนั้นมีเกือบหนึ่งพันล้านตำลึง (ซึ่งไม่มีใครกล้าสันนิษฐานลงไปว่าเงินหรือทอง) แต่แค่เงินจำนวนนี้ก็ทำให้ประวัติศาสตร์บันทึกว่า เหอเซินเป็นหนึ่งในห้าสิบบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในรอบพันปี และในยุคศตวรรษที่สิบแปด เหอเซินเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลก ซึ่งจำนวนเงินที่ว่าไปนั้นไม่รวมทรัพย์สินต่าง ๆ ที่ล้วนแต่มีค่าและยาวเหยียดเป็นหางว่าว ข้าพเจ้าคาดว่าถ้าเขียนรายละเอียดลงไปถึงรายการสมบัติของเหอเซินคงมีความยาวตั้งแต่กรุงเทพจรดนราธิวาสเลยทีเดียว
ดังนั้นเราจะเห็นว่าจริง ๆ แล้วเหอเซินไม่ใช่คนฉลาดหลักแหลมอันใดแม้หลายคนจะถือว่าเหอเซินฉลาดในการทุจริต แต่ถ้าอ่านกันลงไปจริง ๆ จะเห็นว่าทุกอย่างที่ผ่านมาที่ทำให้เหอเซินรอดตัวนั้นก็เพราะมีคนให้ท้ายและคนให้ท้ายก็ไม่ได้สำเหนียกว่าคนที่เขาให้ท้ายไปมันเลวทรามอย่างไรกับแผ่นดิน ก็ไม่ต่างจากเมืองไทย เพียงแต่เหอเซินเมืองไทยยังไม่ตายเลยไม่มีใครรู้ว่าเขามีทรัพย์สินเท่าไหร่แต่ที่เห็นชัดคือ ใครอยากได้อะไรอยากเป็นนายกรัฐมนตรีโดยไม่มีการรัฐประหารก็ต้องเข้าพบและพูดคุยกับเหอเซินคนนี้ เหอเซินอาจต้องฉ้อฉลถึงจะได้เงินแต่เหอเซินเมืองไทยแค่เสกก็เรียกเงินทองมากมายมาวางเท่าหน้าแข้ง แม้ไปกู้เงินมาให้ชู้รักทำกิจการเจ๊งไม่เป็นท่าเหอเซินเมืองไทยก็ยังทำได้ เราไม่ต้องพูดถึงความโหดเหี้ยมของเหอเซินเมืองไทยแต่เรารู้ดีว่าเขาเป็นเช่นไรและเลวร้ายแค่ไหน แต่ความเลวของเขาก็ต้องพูดปกปิดและห้ามพูดถึงในวงกว้างเพราะรู้กันดีว่าเหอเซินเมืองไทยมีคนให้ท้าย
ข้าพเจ้ามิพักต้องเอ่ยถามและตั้งข้อสันนิษฐานว่าเหตุใดคนให้ท้ายเหอเซินถึงยอมให้เหอเซินเมืองไทยทำระยำตำบอน แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่ามันก็คงมีเหตุผลไม่ต่างกัน เพียงแต่จะเป็นข้อสันนิษฐานข้อไหนเท่านั้นเอง ข้อสันนิษฐานที่หนึ่งรักมากสนิทมากเลยให้ท้าย ข้อสันนิษฐานที่สองเพราะกำความลับบางอย่างเอาไว้จึงต้องดูแลกันและกัน ข้อสันนิษฐานที่สามหรือว่าข้าใครตายแล้วเอาเลือดแต้มทำตำหนิไว้พอเกิดมาอีกชาติจึงชดใช้กัน แต่ด้วยอายุของเหอเซินเมืองไทยกับคนให้ท้ายไม่ห่างกันจึงต้องตัดข้อที่สามทิ้งไปคงเหลือแต่ข้อที่หนึ่งและสอง ท่านเลือกจะเชื่อข้อไหน ส่วนข้าพเจ้า...
ไม่บอกปล่อยให้งง แบร่...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น