ข้าพเจ้าอ่านหนังสือประวัติศาสตร์มาก็หลายเล่มโดยเฉพาะประวัติศาสตร์ด้านเอเซียแต่จะหนักไปทางจีน ข้าพเจ้าอ่านมานานจนสังเกตได้ว่าจุดล่มสลายของแต่ละราชวงศ์ของจีนนั้นมีจุดจบคล้าย ๆ กัน นั่นคือ ความอดอยาก แม้จะมีเรื่องราวมากมายเรียงร้อยแต่เพราะความอดอยาก ฮ่องเต้ไม่ฟังเสียงประชาชนคนจึงลุกขึ้นแล้วก่อการ สามก๊กก็ใช่ ราชวงศ์ฉินก็เป็น ราชวงศ์หมิงอีกล่ะ เกือบทั้งนั้นมาจากเหตุผลเริ่มต้นอันเดียวกัน
ความอดอยาก เป็นสิ่งที่โหดร้ายไม่ว่าจะเกิดในแง่มุมไหนของโลก ภาพที่ชินตาของข้าพเจ้าก็คงเป็นภาพเด็กที่เอธิโอเปียที่กำลังหิวโหยเนื้อตัวแห้งจนติดกระดูก แม่นมเหี่ยวแห้งเป็นถุงกาแฟไม่มีน้ำนมสักหยดที่หยาดลงมาแตะแต้มให้ชีวิตลูก มันเป็นภาพที่โหดร้ายจริง ๆ สำหรับเมืองไทยก็มีนะครับถ้าจำกันได้ ในตอนที่ข้าพเจ้ายังเด็กเล็กหรือเมื่อเกือบสามสิบปีที่แล้ว เมืองไทยมีเด็กกินดิน อดอยากจนต้องกินดิน ไม่แน่ใจว่า กาฬสินธ์ หรือ ศรีษะเกษ ใครรู้ช่วยให้ความกระจ่าง ดังนั้นสิ่งเดียวที่จะเยียวยาได้คือการช่วยเหลือ แก้ไข และเยียวยาสถานการณ์ต่อไป ข้าพเจ้าไม่อยากได้ยินคำว่า "แด่เด็กน้อยผู้หิวโหย" อีก ไม่ว่าจะที่ประเทศไทยหรือมุมไหนของโลก
คนเราจริง ๆ แล้วส่วนใหญ่มีธรรมชาติรักสงบ ถ้ามีอาหารพอเพียงมีปัจจัยสี่ครบครันน้อยคนนักที่ร่านทุรน อย่างเช่นตำนานของคนไทยเองตำนานการสร้างบ้านแปลงเมืองส่วนใหญ่ถ้าไม่หนีโรคระบาดก็หนีความหิวโหยแล้วอพยพ ดังนั้นความอดอยากข้าวยากหมากแพงจึงเป็นสิ่งที่สำคัญไม่ว่าจะยุคไหนเมืองไหน ในยุคก่อนความอดอยากมาในรูปแบบที่ค่อนข้างตายตัว น้ำท่วม ตั๊กแตนลง อากาศไม่เป็นใจ หรือถูกรีดนาทาเร้น มันมีรูปแบบสำเร็จรูปของมันแล้วแต่จะเกิดขึ้นที่ไหน แม้จะมากับ สงคราม โรคระบาด ก็เป็นรูปแบบที่ตายตัว ทุกวันนี้ความอดอยากก็มาในรูปแบบที่ตายตัวเช่นกัน ไม่ต่างจากอดีตมากมาย แต่มันเพิ่มเติมอีกรูปแบบคือ ข้าวยากหมากแพงเพราะรัฐบาลแก้ปัญหาไม่เป็นหรือไม่ก็เพราะมีคนอุบาทว์กำลังหากินกับความทุกข์ของคนที่ต้องประสพปัญหาข้าวยากหมากแพง กักตุนสินค้า กักตุนปาล์ม
ยุคนี้เราไม่พูดถึงเรื่องเหล่านี้ว่า ปัญหาความอดอยาก แต่จะเรียกให้เพราะขึ้นว่า ปัญหาปากท้อง ซึ่งทำให้มันฟังดูนุ่มนวลและดีขึ้น
แต่ผลร้ายของปัญหาเหล่านี้ก็รุนแรงไม่แพ้อดีตกาล อดีตกาลคนอดอยากรวมตัวกันตั้งกองทัพต่อต้านราชสำนัก เป็นกบฏ บ้างก็ทำสำเร็จบ้างก็ไม่สำเร็จแล้วแต่ความรุนแรงของปัญหาและเงื่อนไขของการกบฏ แต่ยุคนี้ปัญหาปากท้องเป็นปัญหาสำคัญที่จะล้มรัฐบาลหรือตั้งรัฐบาลได้เลย อย่างที่ผ่านมาก็ชี้วัดให้เห็นพรรคประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยแพ้อย่างหลุดลุ่ยเพราะปัจจัยข้าวยากหมากแพงปัญหาปากท้องเรื้อรัง ดังนั้นประชาชนจึงคาดหมายว่ารัฐบาลและการเลือกตั้งเป็นทางออกและคำตอบที่มาในวันนี้คือ พรรคเพื่อไทย
แต่พรรคเพื่อไทยก็ต้องเจอปัญหาใหญ่เพราะภัยที่มาจากปากและนโยบายที่เต็มไปด้วยปัญหา อย่างเช่น ค่าแรงขั้นต่ำสามร้อยบาทและอัตราเงินเดือนปริญญาตรี มันเป็นนโยบายที่มีช่องโหว่แต่ก็แก้ไขได้ถ้าใจเด็ดและก็ต้องยอมรับกันตรง ๆ ว่า ไม่มีนโยบายของรัฐบาลใดที่ทำได้อย่างหมดจดและทำได้ตามที่หาเสียงไว้ทุกข้อ แต่ก็ไม่ควรให้ผิดพลาดอย่างน่าเกลียดหรือน้อย ๆ ก็ต้องแสดงให้เห็นถึงความพยายามก็แล้วกัน แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับฟังในวันนี้ซึ่งเป็นวันแถลงนโยบายของรัฐบาล ข้าพเจ้าเห็นฝ่ายแค้นขึ้นมาอภิปรายและทำให้ข้าพเจ้าต้องถอนใจอย่างหนักเพราะฝ่ายแค้นโจมตีจนเกินงามและพยายามชี้ให้เห็นว่า เพื่อไทย จะทำไม่ได้อย่างที่พูด ซึ่งรัฐบาลก็ไม่ควรถือสา เพราะถ้าเขามีดีมีน้ำยาก็คงไม่มาเป็นฝ่ายค้านเสียงข้างน้อยแบบนี้ แต่ประเด็นที่น่าสนใจที่สุดที่ฝ่ายค้านเอามาอภิปรายโจมตีที่ข้าพเจ้าอยากนำเสนอคือ
การอภิปรายแย้งของพรรคภูมิใจไทยโดย นาย สนอง เทพอักษรณรงค์ คนผู้นี้เป็นใครมาจากไหนข้าพเจ้าไม่อยากรู้จักแต่สิ่งที่เขาพูดทำให้ข้าพเจ้ารู้ถึงปัญญาของนกกระจาบที่หาญกล้าจะตีฝีปากกับพญาอินทรีโดยไม่รู้ถึงกำลังของตัวเองว่ามีปัญญาและกำลังมากน้อยแค่ไหน แต่ก็ยังกล้าตีสำนวน นายสนองหยิบกระดาษมาหนึ่งแผ่นแล้วพูดว่า
"รัฐบาลนี้ไม่ควรวางนโยบายเรื่องปกป้องสถาบันไว้ในนโยบายสี่ปี แต่ควรจัดเป็นนโยบายเร่งด่วน ผมไม่เห็นว่านโยบายปากท้องยาเสพติดจะสำคัญไปกว่านโยบายปกป้องสถาบัน ซึ่งต้องทำอย่างเร่งด่วนและทำอย่างเร่งด่วนเหนืออื่นใด"
ฟังแล้วรู้สึกอะไรกันไหมครับ... ข้าพเจ้าอาจจะคิดรุนแรงเกินไปแต่อ่านข้อความที่นายสนองพูดทีไรแล้วเจ็บปวดที่นักการเมืองไทยยังคิดแบบนี้ วันนี้ปัญหาปากท้องยังไม่รู้เลยว่าจะแก้ได้ไหม ยาเสพติดก็รุกลามจนไม่รู้ว่าต้องตายกันอีกกี่ศพกว่าปัญหาเหล่านั้นจะเบาบาง และมันเป็นปัญหาที่รัฐบาลนี้ต้องเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวที่รัฐบาลเก่าทำไว้เสียด้วย เพราะประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยคือต้นเหตุแห่งการขึ้นราคาสินค้าจนประชาชนแทบไม่มีเงินจะจับจ่ายและเปนรัฐบาลที่ย่อหย่อนในการปราบปรามยาเสพติด ดังนั้นรัฐบาลนี้ต้องทุ่มกำลังสุดตัวเพื่อมาแก้ปัญหาที่สำคัญของชาติ เพราะสองปัญหานี้คือความทุกข์สุขของประชาชนทั้งประเทศ ถ้าทำสำเร็จประชาชนก็จะมีความสุข แต่ถ้าทำช้าหรือไม่สำเร็จประชาชนก็จะเดือดร้อนชนิดทุกหย่อมหญ้าเลยทีเดียว แต่วันนี้สิ่งที่ นายสนอง พูดนั้นมันตอกย้ำให้เห็นว่านักการเมืองที่ควรจะเห็นแก่ความสุขของประชาชนทั้งประเทศกลับหลงลืมหน้าที่ของตนเอง
ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นนโยบายปกป้องสถาบันไม่สำคัญ ก็สำคัญสำหรับ "ประเทศไทย" แต่ต้องเป็นไปแบบเหมาะสมไม่ใช่เอาปัญหาอย่างอื่นกองทิ้งไว้แล้วเอาปัญหาอื่นซุกไว้ใต้พรม เพราะความหมายที่ นายสนอง พูดนั้นตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกว่าจะตีความว่า ปัญหาอื่นนั้นเก็บไว้ก่อนแล้วแก้เรื่องนี้ให้เสร็จลุล่วงก่อนทำอย่างอื่น
นายสนองครับ ทุกวันนี้ชาวบ้านยังอดอยากไม่พอเหรอครับ ประชาชนทุกคนไม่ได้รับรายได้เทียบเท่า ส.ส. อย่างท่านทุกคนนะครับ และประเทศไทยนั้นเราก็รู้กันอยู่ว่าประเทศไทยเป็นของประชาชนและประชาชนก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของประเทศนี้ ประเทศจะเป็นประเทศได้อย่างไรถ้าไร้ประชาชน ข้าพเจ้าขอแนะนำให้ท่านไปนอนดูซูสีไทเฮาเวอร์ชั่นญี่ปุ่นก่อนนะครับ ก่อนจะมาพูดเรื่องราวอะไรแบบนี้ในสภาที่ทรงเกียรติ และท่านดูจบก็ควรสำนึกไว้เสนอว่าทุกวันนี้ที่ท่านมีเสื้อใส่มีข้าวกินมีอำนาจกร่างได้ทั้งแผ่นดินทุกวันนี้ เพราะประชาชน ไม่ใช่เพราะคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดนะท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติและจงสำเหนียกไว้เสมอด้วยนะครับว่า ประชาชนทุกวันนี้เดือดร้อนหนักเพราะรัฐบาลเก่าได้ขี้ทิ้งไว้ได้ทำให้แผ่นดินฟอนเฟะไว้ ดังนั้นท่านไม่ควรหน้าด้านพูดว่าควรทำอะไรก่อนหรือหลัง แต่ถ้าท่านจะมีสามัญสำนึกอยู่บ้างก็จงจำใส่กบาลไว้ว่า "ต้องทำเพื่อประชาชนก่อนอื่นใด ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข หมดปัญหาเรื่องปากท้อง"
จากนั้นท่านจะไปทำเรื่องห่าอะไรต่อจากนี้ก็ไสหัวไปทำเถอะครับ แล้วอีกอย่างจะพูดอะไรคิดถึงประชาชนก่อนอื่นได้ไหมอย่าเอาแบบลูกพี่ยี่ห้อยร้อยยี่สิบของคุณ ที่คิดอะไรไม่ออกก็บีบน้ำตา กอดเพื่ออำนาจและเอาหลังพิงวัง มันน่าสมเพช !!!
เข้าใจไหมครับ... ถ้าไม่เข้าใจก็ไปตายให้หนอนแดกเถอะ ไอ้ควายเอ๊ย...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น