ในราชวงศ์แมนจู ข้าพเจ้ายกเรื่องราวต่าง ๆ มาเล่ามากมายแล้วซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็รู้เพราะเรือ่งที่เขียนนั้นก็เป็นประเด็นใหญ่ที่อ่านเจอได้แม้กระทั่งจากหนังสือคู่สร้างคู่สม แต่ข้าพเจ้าปรับเปลี่ยนและใส่ความคิดของข้าพเจ้าลงไป แต่ไม่เคยหยิบเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มาเขียนเลยทั้ง ๆ ที่ข้าพเจ้าเชื่อมั่นพอสมควรว่า ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ชิงข้าพเจ้าก็พอรู้อยู่บ้างเหมือนกัน ดังนั้นวันนี้ก็คงจะเขียนเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เป็นเกร็ดซึ่งไม่คิดว่าจะเคยมีใครเอาไปเขียนในคู่สร้างคู่สม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยจักรพรรดิเต้ากวง ราชโอรสในจักรพรรดิเจี่ยชิง ข้าพเจ้าจะไม่เล่าว่าเขาเป็นมายังไงลูกใครหลานใคร คงไม่เล่าแต่จะขอยกตอนที่เขาขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้วและพบว่า ประเทศจีนที่เขาปกครองอยู่ประเทศที่เขาเคยภูมิใจในความยิ่งใหญ่นั้นกำลังอดอยาก ข้าวยากหมากแพง ชาวบ้านในยุคนั้นอดอยากแม้กระทั่งแม้ต้องขายลูกเพื่อหาข้าวกิน คนจรจัดต้องขุดหลุมศพเอาผู้วายปราณมากินประทังชีวิต
หลังจากถูกปิดหูปิดตามานานแล้วได้มาพบความจริงความกริ่งเกรงว่าราชวงศ์ของบรรพชนจะสิ้นสูญก็ผุดขึ้นในกมลมาลย์ เต้ากวงเลยเกิดขัตติยะมานะและตั้งใจทำงานเพื่อจะรักษาสมบัติของบรรพชนซึ่งสมบัตินั้นก็คือ อำนาจเหนือแผ่นดินจีนที่กว้างใหญ่นั่นเอง สิ่งหนึ่งที่เต้ากวงได้พบว่าถ้าปล่อยปละละเลยต่อไปอาจจะฉุดให้แผ่นดินถึงกาลวิบัติได้นั่นก็คือ รายจ่ายที่มากมายอย่างมหาศาลของราชสำนัก เขาตรวจสอบทุกอย่างด้วยตัวเองเช็คบัญชีทุกหน้าแรก ๆ เขาเพ่งเล็งไปที่การกินสินบาทคาดสินบนของขุนนาง แต่สุดท้ายเขาก็ตะลึงลานตาค้างเพราะสาเหตุจริง ๆ ที่ก่อให้เกิดรายจ่ายมากที่สุดก็คืออย่างที่บอกไป รายจ่ายในราชสำนัก
ค่าใช้จ่ายเลี้ยงลูกหลานกองธงทัพต่าง ๆ ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับเสื้อผ้า ค่าอาหารการกิน ค่าพาหนะ ค่าบำรุงรักษาวังต่าง ๆ ที่มีมากมายและต้องบำรุงรักษาต่อปีเป็นเบี้ยมหาศาล มีคำกล่าวว่ากระเบื้องที่ปูราดหลังคาในพระราชวังและตำหนักต่าง ๆ เพียงแผ่นเดียวก็มีค่าควรเมือง เพราะกว่าจะได้กระเบื้องที่ได้มาตรฐานพอที่จะปูหลังคากู้กงและพระตำหนักต่าง ๆ ได้ต้องผ่านการเผาการเคลือบจนมีสีที่เสมอกัน มันวาวตามมาตรฐานที่ต้องการ จนเขาพูดกันว่า "การเผากระเบื้องจนได้มาหนึ่งแผ่นต้องใช้งบประมาณเป็นหมื่นตำลึง" ดังนั้นเมื่อเต้ากวงรวบรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดก็เริ่มมาตรการในการประหยัดเพื่อพิทักษ์รักษาราชบัลลังก์
ท่านเริ่มตั้งแต่การประหยัดเครื่องแต่งกาย ไม่มีนโยบายให้ตัดเย็บเสื้อผ้าใหม่จนกว่าชุดเดิมจะใช้ไม่ได้ ท่านใช้จนขาดแล้วส่งให้นางกำนัลปะชุน แต่พระองค์ไม่เคยรู้เลยว่าเส้นด้ายที่เอามาร้อยเย็บเครื่องทรงของท่านนั้นก็ต้องใช้ด้ายไหมพิเศษที่ราคาแพงระยับ ท่านจึงแก้ไขใหม่ด้วยการยกเลิกการกรอด้ายแล้วส่งเสื้อผ้าไปปะชุนนอกพระตำหนักเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายที่มากมายของขั้นตอนในรั้ววัง แต่กระนั้นเต้ากวงก็ไม่ได้ทราบเลยว่า สิ่งที่พระองค์กำลังภูมิใจว่าประหยัดจนได้โล่ห์กลับกลายเป็นช่องทางหาเงินให้กับคนกลุ่มหนึ่ง เต้ากวงไม่เคยรู้มาก่อนว่าค่าปะชุนนั้นโดยปกติตัวหนึ่งชุดหนึ่งไม่กี่อีแปะแต่ขุนนางที่ท่านทรงใช้เรียกเก็บตัวละห้าตำลึง เต้ากวงหลงดีใจที่ได้ราคาถูกแต่ท่านไม่รู้ว่าพอเรื่องนี้หลุดออกไปนอกวัง ผู้คนและขุนนางต่างหัวร่อและสมเพชในความโง่เง่าของพระองค์
ท่านให้ยกเลิกการทำครัวหลวงที่ฟุ่มเฟือย ยกเลิกการกินทิ้งข้าวทำกับข้าวมื้อละเป็นร้อย ๆ อย่างแล้วหันกลับไปซื้อของจากนอกวัง คำว่า ตำรับฮ่องเต้ เริ่มเกิดขึ้นมาในยุคนี้เพราะถ้าขุนนางกินอะไรแล้วอร่อยก็จะหอบหิ้วไปให้ฮ่องเต้กินในวัง ถ้าพระองค์ติดใจก็ให้คนออกมาซื้อแทนเครื่องเสวยในวัง แล้วก็เกิดปัญหาตามมาคือร้านค้าขึ้นราคาเพราะทนงว่าอาหารของเขาเป็นอาหารฮ่องเต้ แม้กระนั้นก็ตามแม้ค่าอาหารของฮ่องเต้ที่ทรงคิดประหยัดก็ยังถูกบวกหัวคิว เป็นที่ขบขันอย่างยิ่งในสายตาของประชาชน
และไม่ใช่มีเรื่องเพียงเท่านี้มันมีอีกหลาย ๆ เรื่องที่พระองค์ทรงทำให้ขุนนางและประชาชนเห็นเป็นตัวอย่างว่าอะไรคือความประหยัด แม้เจ้าเหนือหัวเจ้าแผ่นดินยังนิยมการประหยัดดังนั้นประเทศชาติก็น่าจะดีขึ้นเพราะทุกคนพอเพียง แต่ในความเป็นจริงการที่พระองค์ทรงเช่นนั้นไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยเพราะปัญหาที่เกิดขึ้น ชาวบ้านอดอยาก ไม่ใช่ปัญหาเรื่องประชาชนฟุ่มเฟือย แม้ฮ่องเต้จะประหยัดแต่เงินก็ไปตกอยู่กับขุนนางเจ้าเมือง และขุนนางเจ้าเมืองก็ไม่ได้แก้ปัญหาอะไรชาวบ้านเลยอดอยากยากเย็นอยุ่เหมือนเดิมไม่ต่างกันไม่ต่างกับที่เคยเป็นมาก่อนเลย ฮ่องเต้เต้ากวงหลงเข้าใจว่าการที่พระองค์ประหยัดให้ขุนนางเห็น ขุนนางจะเอาเยี่ยงอย่าง แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้นเพราะขุนนางเจ้าเมืองก็ยังเป็นเจ้าที่ดินและกักตุนสินค้าอย่างเดิม ประชาชนก็ยังอดอยากเหมือนเดิม แล้วประโยชน์อะไรที่เต้ากวงทำเช่นนั้นเพราะไม่เพียงเปิดทางให้ขุนนางฉ้อฉลกันมากขึ้นแต่ยังทำให้คนขบขันในความโง่เง่าของพระองค์อีกด้วย
มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจนะครับประเด็นนี้ เพราะถ้าพูดจากใจจริงแล้วสิ่งที่เต้ากวงทำนั้นไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี มันเป็นสิ่งที่ดีมันเป็นสิ่งที่พยายามทำจริง ๆ เพื่อเกิดผลจริง ๆ แต่พระองค์เพียงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วต้นตอของปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นหากแต่อยู่ที่ระบบขุนศึกและเจ้าของที่ดิน ดังนั้นก็ไม่อาจจะไปว่ากล่าวอะไรเต้ากวงได้มากกว่าข้อหา โง่งี่เง่า
แต่ถ้าเต้ากวงกระทำกลับกัน ปากบอกให้คนประหยัดแต่กลับยังคงใช้ชีวิตหรูหราและเปี่ยมด้วยอภิสิทธ์อยู่อย่างเดิม ปากบอกให้ประหยัดแต่ใส่เสื้อผ้าแพงระยับนั่งเกี้ยวราคาแพงสี่คนหามสามคนแบกต้องเอาแส้ฟาดขอทางเป็นกิโล ๆ ใช่ไพร่พลมากมายในขบวนเสด็จ เปิดวังเป็นดอกเห็ดและออกประพาสไปที่ต่าง ๆ เป็นว่าเล่น อันนั้นเรียกได้แค่ว่า ประหยัดเพื่อสร้างภาพประหยัดพอเพียงเพื่อหลอกชาวบ้านไปวัน ๆ เท่านั้นเอง ถ้าเต้ากวงทำเช่นนั้นก็คงจะเรียกได้อีกอย่างว่า โง่เง่าและเลวทรามสุดสามานย์
มันเป็นเรื่องที่ต่างกัน... แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือถ้าระบบขุนนางขุนศึกเจ้าที่ดินตั้งใจทำงานบริหารอย่างเป็นธรรมให้ประชาชนเป็นสุขสงบยามหิวมีข้าวกินยามหนาวมีที่ซุกหัวมีผ้าห่มห่อ ประชาชนก็คงไม่เป็นศัตรูกับฮ่องเต้เต้ากวงดอก เพราะเมื่อประชาชนเป็นสุขมีชีวิตที่ดีเขาก็ไม่มองหาความผิดพลาดของชนชั้นปกครอง แต่นี่เต้ากวงกลายเป็นตัวตลกแห่งแผ่นดินเพียงเพราะอะไร เพียงเพราะประชาชนอยู่อย่างลำบากลำบนภายใต้การปกครองของขุนศึกและเจ้าที่ดินที่ไม่ได้เรื่อง ดังนั้นมันจึงเป็นสัจธรรม เมื่อประชาชนอดอยากเขาก็ต้องกล่าวโทษคนที่รีดนาทาเร้นทำนาบนหลังของเขาและอยู่อย่างสุขสบายและแม้ฮ่องเต้จะประหยัดจริงหรือประหยัดเพื่อสร้างภาพ ประชาชนเขาก็ไม่แยกแยะหรอกครับ เพราะเขาถือว่า ในแผ่นดินนี้ไม่มีใครอยู่สุขสบายเท่าฮ่องเต้ดังนั้นเมื่อเขาทุกข์ยากและเดือดร้อนคนเป็นฮ่องเต้ต้องรับผิดชอบไม่ว่าจะกรณีใด ๆ เพราะฮ่องเต้เป็นเพียงคนเดียวที่แทบไม่ต้องทำงานแต่อยู่อย่างสบายไปทั้งโคตรเหง้าและสืบสันดานต่อไปจนแทบไม่มีวันจะจบสิ้น
แต่ในที่นี้ก็ยังย้ำชัดว่า ถ้าเต้ากวงเป็นฮ่องเต้ที่สร้างภาพว่าตัวเองประหยัดแต่ยังใช้ชีวิตหรูหราไม่เปลี่ยนแปลง เต้ากวงนั้น โง่เง่าและเลวทรามสุด เลวทรามกว่าสัตว์นรกที่อยู่ในอเวจี
เจริญพร
เลวทรามกว่าสัตว์นรกนี่ก็เกินไปครับ ฮ่องเต้ที่แย่กว่านี้ก็มีอีกเยอะ เต้ากวงก็ไม่ได้แย่มากมาย
ตอบลบคุ้นๆ
ตอบลบ