วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554

หากินคนเดียว สุขสบายไปทั้งโคตร



 เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าคิดมานานว่าจะเขียนดีไหม  อย่างไร...


แต่สุดท้ายก็ต้องเขียนออกมาเพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าเคยรู้สึกมันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาทุกวัน  ข้าพเจ้าเคยพูดว่าประเทศไทยนั้นเดินตามรอยตามหลังประเทศจีนอยู่ถึงช่วงสองร้อยถึงสามร้อยปี   ไทยเราตามทั้งรูปแบบความเจริญและรูปแบบของเหตุการณ์  อย่างที่เคยเสนอไปหลายครั้งแล้วก็จะมี  เหอเซิน อำมาตย์เลวบุคคลยอดชั่วในสามโลก   และวันนี้ข่าวที่นำเสนออยู่ทุกวันก็ทำให้ข้าพเจ้าต้องย้อนคิดถึงเรื่องที่เคยคิดไว้อีกหน   เวลานี้นอกจากเรื่องการลักลอบขายสุนัขแล้วเรื่องที่โด่งดังไม่แพ้กันก็คือเรื่องการบุกรุกเขตป่าวังน้ำเขียว  เรื่องที่ดินเขตป่าวังน้ำเขียวนั้นมันเป็นเรื่องที่ว่าด้วย สปก.  เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการให้ชาวไร่ชาวนาไปบุกเบิกหาที่ทำกินกันทางการเกษตร  แต่ปรัตยุบันที่เป็นเรื่องออกมานั้นก็เพราะว่า  มีคนเอาที่ทำการเกษตรไปเป็นที่บำรุงบำเรอความสุขแห่งตน


มิพักต้องเอ่ยพูดให้มากความว่า  ที่เหล่านั้นใครเป็นเจ้าของ  เพราะดูเหมือนว่าจะมีขององคมนตรีและผู้ยิ่งหญ่ายในแผ่นดินอยู่หลากหลายคน


แต่เมื่อหลายร้อยปีก่อนนั้นก็มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแล้วในแผ่นดินจีน  รูปลักษณะของเนื้อเรื่องคล้าย ๆ กัน  เหตุการณ์นี้เกิดในรัชสมัยของจักรพรรดิคังซีแห่งราชวงศ์ชิง   หรือเมื่อสามร้อยกว่าปีของประเทศไทย   ตอนนั้นมีขุนนางที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่อยู่คนหนึ่งมีนามกรว่า อ้าวไป่ บุคคลผู้นี้เป็นขุนนางสามสมัยที่มีบทบาทมาตั้งแต่ ฮวงไทจี๋  ซุนจื่อ  และ คังซี  เขาเป็นนักรบที่ทแกล้วกล้าแต่มีความโลภและยโสจองหองมีทั้งยังกำเริบเสิบสาน   ด้วยสมัยก่อนระบบการปกครองของราชวงศ์แมนจูนั้นก็เป็นไปในลักษณะกองธงและกองธงแต่ละกองธงจะมีที่ดินเป็นของตัวเอง   เมื่อกองทัพเติบใหญ่ที่ดินที่มีที่ใช้ทำมาหากินปลูกข้าวก็แคบลงแคบลง  อ้าวไป่ ก็เลยทูลขอพระราชานุญาตจากองค์จักรพรรดิ
แต่สิ่งที่เขาทูลขอนั้นเป็นเรื่องของการปักเขตแดนซึ่งมิใช่ให้แต่คนในกองทัพธงต่าง ๆ มีสิทธ์  แต่ยังให้ประชาชนธรรมดาได้มีสิทธ์ในที่ดินที่ปักปันอีกด้วย   ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีเพราะยามนั้นมีประชาชนมากมายที่ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเองในยามนั้นจักรพรรดิคังซีไม่ได้มีความเห็นด้วยกับหลักการณ์นี้เลยแม้แต่เพียงนิดเดียวเพราะพระองค์ทรงคิดอยู่ลึก ๆ ในใจว่าเมื่อโครงการนี้เป็นรูปร่าง  คนและชาวบ้านเหล่านั้นก็จะไม่ได้ประโยชน์กับโครงการ  พระองค์ทรงเล็งเห็นว่าที่ดินเหล่านั้นจะตกไปอยู่กับกลุ่มขุนนางเพียงกลุ่มเดียวเช่นเคย   แม้ท่านคัดค้านแต่ตอนนั้นอำนาจของอ้าวไป่ในราชสำนักนั้นมากกว่ามาก   เขาไม่แม้แต่จะปลดอาวุธยามเข้าเฝ้าแม้เข้าเฝ้าก็ไม่ยอมคุกเข่า   คังซีจึงยอมทำตามแบบไม่เต็มใจ


รู้สึกไหมว่า  เหตุการณ์ปักปันที่ดินกับเหตุการณ์ สปก. ในบ้านเราคล้ายคลึงกันเหลือเกิน  ทั้งรูปแบบและวิธี 


และสิ่งที่คังซีคิดก็เกิดขึ้นจริง ๆ และเกิดขึ้นอย่างชนิดที่เรียกว่าเป็นโศกนาฏกรรมวังหลวง   เพราะต้องมีขุนนางดี ๆ ล้มหายตายจากเพราะเหตุการณ์นี้มากมาย   ที่สำคัญคือชาวนาก็ไร้ที่ทำกินอยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ กันต่อไป   แต่ตอนจบเรื่องปักปันก็จบแบบโดยดี  มีการยกเลิกเพิกถอนและให้ชาวนาได้กลับมาปักเขตกันทำกิน   ข้าพเจ้าจะคอยดูเมืองไทยอย่างใจจดจ่อ


แต่เรื่องที่ข้าพเจ้าอยากเล่าและเขียนมันยังไม่จบเพียงเท่านี้   เพราะมันยังมีเรื่องความคล้ายคลึงบางอย่างกับประเทศไทย   แม้ชาวแมนจูจะเข้ามาบุกรุกเมืองหลวงแต่ก็เรียกว่าไม่มั่นคงนักเพราะเหตุว่ายังต้องอาศัยจมูกชาวฮั่นหายใจอย่างที่ปรากฏเป็นเหตุการณ์สามฮวน  หรือสามนครรัฐปกครองตัวเอง   คนแมนจูนอกจากรบกับล่าสัตว์หาเห็ดแล้วก็ทำอะไรไม่ค่อยจะเป็นกับเขา   ดังนั้นชีวิตความเป็นอยู่ก็จึงเป็นไปแบบแกน ๆ และได้แต่อาศัยปล้นสะดมภ์ไปวัน ๆ แต่พอในรัชสมัยคังซีนี้นับว่าเป็นบุญของราชวงศ์แมนจูและชาวจีน  เพราะคังซีนับว่าเป็นกษัตริย์นักพัฒนา 


ท่านไม่สามารถทุกเรื่องแต่พร้อมจะพัฒนาทุกเรื่องและเรียนรู้ทุกอย่าง   ไม่มีใครเขียนคำชมเชยบุคคลนี้ไว้มากมายนัก  ไม่มีใครแต่งเพลงสรรเสริญ  ไม่มีใครสร้างเหรียญและไม่มีใครมีที่รฤกถุงพระราชทานของคังซี   แต่ถ้าเราเจาะลึกลงไปจะเห็นว่าในรัชสมัยของคังซีฮ่องเต้นับว่าเป็นยุคทองยุคหนึ่งของแผ่นดินจีน   ไม่ว่าจะด้านการค้าหรือการขยายดินแดน  ความสัมพันธ์ทางการฑูต  และที่สำคัญที่สุดคือการประยุกต์   ทุกสิ่งทุกอย่างที่คังซีรับเข้ามาจากต่างแดนพระองค์จะประยุกต์จนออกมาในรูปแบบของจีนแล้วดำเนินการให้เจริญยิ่ง


ไม่ว่าจะระบบเศรษฐกิจ  การค้า  การทำนา  การปลูกพืช  ปศุสัตว์  อีกทั้งวัฒนธรรมของตะวันตกคังซีก็เอามาผสมผสานกับวัฒนธรรมจีนได้อย่างแนบเนียน  แต่ที่โดดเด่นเหนือใครคือ  ปืนใหญ่เสียนอู่อันลือนาม   คังซีโปรดปรานการทหารและเห็นว่าถ้ามัวแต่สั่งซื้อปืนใหญ่จากตะวันตกก็จะไม่บังเกิดประโยชน์อะไรท่านจึงให้บาทหลวงที่รู้เรื่องนี้เข้ามาพัฒนาการหล่อปืนใหญ่อย่างเป็นรูปร่างและให้ความสำคัญกับบาทหลวงท่านนี้ทั้ง ๆ ที่แต่ไรมา  ประเทศจีนไม่เคยเปิดใจรับวัฒนธรรมตะวันตกโดยเฉพาะการเผยแพร่ศาสนา   ปืนใหญ่เสียนอู่ของคังซี  ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นด้วยตาแต่รู้มาแค่เพียงว่ามีขนาดเล็กและยิงได้บ่อยครั้งกว่าปืนใหญ่ของตะวันตกในยุคนั้น   ไม่ต้องราดน้ำบ่อย ๆ ทุกครั้งเหมือนอย่างที่เราเคยทราบกัน  ปืนใหญ่ธรรมดายิงทีต้องราดน้ำทีเพื่อให้ลำปืนเย็นลง   แต่ปืนใหญ่เสียนอู่ยิงได้ติดต่อถึงห้าหกครั้งถึงจะราดน้ำ   นี่นับว่าเป็นปรีชาสามารถของคังซีโดยแท้ที่ริจะปฏิวัติปืนใหญ่ที่ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองถนัด   ความเกรียงไกรของกองปืนใหญ่กองนี้โด่งดังไปถึงรัสเซียที่นับว่าเป็นมหาอำนาจของโลกในยุคนั้น   จากการประลองฝีมือกันตามแนวชายแดนหลายหน   สุดท้ายรัสเซียต้องขอยอมสงบสงครามกับจีน   นับว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของคังซี


จะเห็นได้ว่าในยุคคังซีนี้แผ่นดินจีนเกรียงไกร   และถ้ามีผู้สานต่อดี ๆ จีนคงเป็นมหาอำนาจของโลกและเกรียงไกรในปรัตยุบันกว่าที่เห็นทุกวันนี้มากนัก   ในราชวงศ์แมนจูจริงอยู่ว่ามียุคทองถึงสามช่วง  คือ  คังซี  หย่งเจิ้น และ เฉียนหลง  แต่ถ้าเรามองดูอย่างถ่องแท้จะเห็นว่า  รากฐานของสามยุคนั้นมาจากการทำงานของคังซีเพียงคนเดียว   เพราะตั้งแต่จากจบยุคคังซีความเจริญก็เหมือนจะคงที่และชะลอตัว   ในยุคหย่งเจิ้นเป็นยุคที่จัดระเบียบในประเทศให้ประเทศมีระบบ  ยุคเฉียนหลงที่ใครมองว่าเจริญแต่ในสายตาของข้าพเจ้ากลับมองว่าเป็นยุคเริ่มต้นแห่งความหายนะ   เพราะเฉียนหลงนั้นฟุ่มเฟือยด้วยการสร้างวัง  ฟุ้งเฟ้อ  เจอสาวเผ่าไหนแล้วรักแล้วชอบก็ไปเอามาแล้วสร้างวังให้โดยที่วังนั้นเหมือนกับจำลองบรรยากาศในเผ่าเหล่านั้นมาเลย  ยุคนั้นจึงเป็นยุคที่เต็มไปด้วยวัง   และที่เป็นที่กล่าวขานที่สุดคือ  อุทยานหยวนหมิงหยวน  ปรัตยุบันนี้อุทยานนี้ราบเป็นหน้ากลองไปแล้วคงเหลือแต่เศษซาก  แต่ในยุคนั้นอุทยานนี้นับว่าสวยงามที่สุด  ซึ่งคนจีนโม้กันว่าเป็นอุทยานที่ยิ่งใหญ่และสวยที่สุดในโลก  ในยุคเฉียนหลงเป็นยุคที่ประเทศชาติดูเหมือนเจริญสูงสุด  แต่แท้แล้วเป็นยุคผลาญเงินท้องพระคลังมากที่สุดและที่สำคัญเหนืออื่นใดคือเป็นยุคที่จีนต้องปิดประเทศอีกหน   เฉียนหลงเชื่อเสมอว่าจีนเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมีวิวัฒนาการอารยธรรมเหนือใคร  จึงปิดประเทศและกักขังตัวเองอยู่ในโลกแห่งความหลงตัวเอง
และจากสิ้นเฉียนหลงมา   ปัญหาก็เกิดตามทันที  กบฏบัวขาว  กบฏต่าง ๆ นานา ๆ เกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า   ผู้เป็นลูกก็ไม่ใช่คนเก่งกาจแถมท้องพระคลังไม่ได้มีงบหลงเหลือมากมาย  ประเทศจึงอ่อนแอและอ่อนแอ  ก่อนจะจบลงอย่างหายนะอย่างที่เราได้เห็นกัน


สิ่งที่เหมือนคือ  ประเทศไทยเราก็เป็นเช่นนั้น   เพราะในประเทศเรานั้นข้าพเจ้าก็มองว่ากษัตริย์ที่เก่งกาจทรงงานจนตัวเป็นเกลียวเห็นจะมีแต่รัชกาลที่สามเพียงองค์เดียว   ในยุคนั้นไทยเป็นเจ้าสัวและเป็นมิตรกับต่างชาติ   แต่รัชกาลที่สามก็ไม่ทรงประมาทให้จดจำวิทยาการแต่อย่าเอาเยี่ยงอย่างมันไปเสียหมด   พระองค์มีเงินทองเก็บไว้มากมายอีกทั้งกองทัพก็แข็งแกร่ง  ศิลปวัฒนธรรมก็รุ่งเรือง   มีแบบศิลปะแห่งรัชกาลเกิดขึ้นมากมาย  ท่านประยุกต์งานศิลปะจีนเข้ากับไทยได้อย่างแนบเนียน   คงไม่ผิดนักถ้าจะกล่าวว่า  ในรัชกาลที่สามเปรียบได้กับคังซีแห่งราชวงศ์แมนจู


พอมารัชกาลที่สี่  บ้านเมืองก็ทรงตัวและเหมือนหยุดชะงักเพราะรัชกาลที่สี่ไม่ได้มีความจัดเจนในการหาเงินเข้าท้องพระคลัง  อีกทั้งวุ่นวายกับด้านสงฆ์และวุ่นวายกับการขยายแพร่เชื้อพระโลหิตให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  ดังนั้นกิจการที่รัชกาลที่สามทรงทิ้งไว้จึงไม่มีการสานต่ออย่างดี  จากที่รัชกาลที่สามทรงประยุกต์ให้วัฒนธรรมหรือสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามาเป็นของไทย  แต่รัชกาลที่สี่กลับปล่อยผ่านให้ฝรั่งเป็นฝรั่งในบ้านเราโดยมิได้ผ่านการขัดเกลาหรือปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด


พอมายุครัชกาลที่ห้า  ยุคที่คนเชื่อว่าเจริญที่สุด   แต่ข้าพเจ้ากลับมองว่าไม่ต่างอะไรกับเฉียนหลงคือเป็นยุคที่เต็มอิ่มกับสิ่งที่รัชกาลที่สามได้ทำมาแถมยังเอาเงินรัชกาลที่สามไปใช้  มีวังมากมายผุดขึ้นราวดอกเห็ด   มีวัดมากมายสร้างขึ้นอย่างหรูหราเกินจำเป็น   และเป็นยุคที่ความสัมพันธ์กับต่างประเทศเหมือนจะดี   แต่ผลที่ออกมาเป็นยุคที่ประเทศไทยเราถูกต่างชาติย่ำยีมากที่สุด   ดินแดนที่กว้างขวางก็ต้องหดลง ๆ จนแทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าถ้ามองจากกูเกิ้ลเอิร์ธ 


แต่ทุกอย่างก็ทรงตัวและทรุดตัวมาเรื่อย ๆ ต่อไป  แต่เราจะเห็นได้ชัดว่า  ทั้งสองประเทศนั้นข้าพเจ้ายกตัวอย่างมาให้ดูว่าเพียงเพราะมีกษัตริย์ที่เก่งเพียงคนเดียว  ทำงานจริง  ก็สามารถทำให้บ้านเมืองยั่งยืนสถาพรได้อีกยาวนาน   เพียงแต่ว่าเมืองจีนนั้นเขามองกษัตริย์ในวังหลวงเป็นคนต่างชาติและฟุ่มเฟือยจึงไล่ออกจากวังไป   เพราะอยู่ไปสิ้นเปลือง  ทำงานก็ไม่เป็น  พัฒนาประเทศก็ไม่ได้  จะเลี้ยงไว้ทำไม 
ข้าพเจ้าเขียนถึงตรงนี้แล้ว  คงไม่เขียนอะไรต่อไป   เพราะข้าพเจ้าเพียงแต่จะเล่าประวัติศาสตร์ให้เห็นภาพชัดขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์ในการศึกษาและเป็นที่โต้แย้งหรือแตกประเด็นเพียงเท่านั้น   ข้าพเจ้าก็ควรจะจบก่อนข้าพเจ้าจะออกอ่าวออกทะเลไป  แต่จริง ๆ แล้วข้าพเจ้ามีตอนจบค้างอยู่ในใจ  และไม่เขียนออกมา


ส่วนพวกท่านแล้วประสงค์ให้บทความนี้มีตอนจบอย่างไรก็ลิขิตเขียนด้วยตัวท่านเอง


สวัสดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น