"กูจะกลับบ้าน กูจะกลับบ้าน" อมรเทพร่ำร้องเสียงดัง แม้ร่างกายของเขาจะเต็มไปด้วยผ้าพันแผลแต่ก็พยายามดิ้นให้หลุดพ้นจากพันธนาการที่มัดมือและเท้า
"คุณหลวง ผมว่าไอ้นี่มันท่าจะบ้านะ" ชายร่างใหญ่เปลือยบนพูดขึ้น
"กระผมก็ว่าอย่างนั้น มันพูดอะไรกระผมก็หาเข้าใจไม่" ชายอีกคนตอบ ชายคนนี้มีร่างเล็กกว่าคนแรก
อมรเทพยังคงดิ้นอยู่บนแคร่ไม้ ผ้าที่รัดมือและเท้าของเขากลับรัดแน่นทุกครั้งที่อมรเทพขยับกาย เขากรีดเสียงร้องดังขึ้นและร่ำร้องแต่คำว่า "กูจะกลับบ้าน กูจะกลับบ้าน" อมรเทพร้องจนสองชายฉกรรจ์ที่ยืนฟังอยู่อดทนไม่ไหว ชายคนที่ร่างใหญ่กว่าตรงมาทางอมรเทพก่อนจะนั่งลงที่แคร่ไม้ เขาค่อย ๆ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
"เจ้าตอบมาดี ๆ สิ ว่า บ้านเจ้าอยู่บางไหน เมืองใด ข้าจะได้ส่งเจ้าถูก ข้าเองก็ไม่ได้อยากคุมตัวเจ้า แต่ตอนนี้มันเคราะห์หามยามศึกจะปล่อยเจ้าไปทะเล่อทะล่าจะเป็นได้ถูกกุดหัวเสียเล่น ๆ "
"กูบอกแล้วไง บ้านกูอยู่เยาวราช เยาวราช ข้ามาเที่ยวทะเลกับเพื่อน แล้วทำไมอยู่ ๆ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแบบนี้"
"หลวงจบ ท่านรู้หรือไม่เยาวราชคือที่ใด"
"กระผมขอตอบคุณหลวงอย่างที่เคยตอบแหล่ะ ไม่เคยได้ยินเลย หลวงแสน ข้าว่าไอ้หนุ่มนี้คงวิกลจริตเสียเป็นแม่นมั่น"
อมรเทพชะงักไปชั่วครู่เหมือนโดนผีถีบหน้าอย่างจัง เขาสะบัดหัวอย่างแรงก่อนจะพูดด้วยเสียงดังเชิงคำถาม
"ท่านชื่ออะไรนะ ท่านทั้งสองน่ะ"
"ข้าหลวงจบไกรแดน" ชายร่างเล็กกว่าพูดขึ้น
"ท่านนี้ก็คือ หลวงแสนพลพ่าย ใช่หรือไม่" อมรเทพสวนทันควัน
ชายร่างใหญ่สะดุ้งเฮือก ก่อนจะถามด้วยความตกใจ "ท่านรู้ได้เยี่ยงไร ข้าไม่เคยบอกท่านนี่"
อมรเทพทรุดหัวลงกับที่นอนก่อนจะถอนหายใจออกมาแรง ๆ จากนั้นก็กรีดเสียงหัวเราะออกมาจนลั่นกระโจม อมรเทพพยายามจะหลอกตัวเองด้วยเสียงหัวเราะและพยายามมองหาอาการโกหกของคนทั้งคู่ แต่เมื่อไม่พบ... อมรเทพได้กรีดเสียงหัวเราะออกมาอีกหน เสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความตลกของชีวิต
อมรเทพจำได้ดีว่า ที่นี่คือ อ่าวหว้าขาว ที่เขากับเพื่อนตั้งใจมาเที่ยวและดื่มด่ำความงามของหาดทรายขาวเคียวโค้งและขอบทะเล แต่อยู่ ๆ มีเหมือนมีอสุนีบาตมาฟาดลงที่หัว อมรเทพได้หลับไหลและมาตื่นอีกทีก็อยู่ในที่แปลกตา จนเขาต้องสติแตกและสุดท้ายก็ถูกจับมัดมานอนที่กระโจมนี่
อมรเทพหัวเราะอีกครั้ง... จนสองคุณหลวงผู้มีชื่อต้องหยุดมองและเหมือนความอดทนของหลวงแสนพลพ่ายหมดลง เขาเดินมาและถามด้วยเสียงอันดัง
"เจ้าหัวร่ออะไรรึ ชื่อข้ามีกระไรน่าหัวร่อรึ"
"คุณหลวง ภรรยาท่านชื่อ อุ่นเรือน ใช่หรือไม่"
หลวงแสนฟังคำพูดนี้จบถึงกับสะดุ้งกาย ก่อนจะชี้นิ้วไปที่อมรเทพแล้วพูดด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม
"เจ้ารู้ได้อย่างไร"
อมรเทพไม่ตอบคำ แต่หันไปพูดกับอีกคนว่า "ส่วนท่านหลวงจบ ภรรยาท่านชื่อ นิ่มนวล ใช่หรือไม่"
หลวงจบไกรแดน แสดงอาการตกใจออกมาชัดเจนกว่าหลวงแสน ก่อนจะถามออกมาด้วยสำเนียงเดียวกัน
"เจ้ารู้ได้อย่างไร"
อมรเทพไม่ตอบคำได้แต่แนบหน้าลงกับหมอนไม้และปล่อยให้น้ำอุ่น ๆ ไหลออกจาตา เขาไม่รู้ว่าจะบอกคนสองคนนี้ให้เชื่อได้อย่างไรว่า เขารู้จักสองคนนี้มาก่อน อมรเทพไม่ได้ร้องไห้ที่เค้ามาปรากฏตัวผิดยุคผิดสมัย เพราะเขาจำได้ว่า วันสุดท้ายที่มาถึงที่นี่ปฏิทินในโทรศัพท์มือถือปรากฏชัดว่า อมรเทพมีชีวิตอยู่ใน คริสต์ศักราช 2000 แต่การที่เขาต้องหลั่งน้ำตาเพราะอมรเทพรู้ดีว่า พรุ้งนี้ที่นี่จะเกิดอะไรขึ้น หรือ ไม่อีกกี่มากน้อยนี้จะเกิดอะไรขึ้น
ขณะที่เขากำลังเก็บกักน้ำตา ผ้าม่านหน้ากระโจมก็เปิดออก ชายร่างใหญ่ผิวขาวปรากฏที่เบื้องหน้ากระโจม เขาอยู่ในชุดนักรบที่ดูแล้วทแก้วกล้ายิ่งนัก
"คุณหลวงทั้งสอง พม่ามันมาแล้ว เราไปดูลาดเลากันเถิด" พูดจบชายคนนั้นก็ปรายตามาที่อมรเทพก่อนจะถามขึ้น "คนนี้ใครรึ เหตุใดแต่งตัวพิลึกนัก"
"ข้าก็ไม่รู้ ข้าเจอมันนอนสลบอยู่ริมหาดเลยแบกมา พอตื่นขึ้นก็โวยวาย เห็นบอกแต่ว่า มาจากเยาวราชนั่นล่ะหลวงไกร" เสียงหลวงแสนเป็นคนตอบ
"ท่านชื่อ หลวงไกรสีห์ราชภักดี มีเมียชื่อดาวเรือง ท่านมีดาบสองอันประจำตระกูล เล่มหนึ่งอยู่ที่ท่าน อีกเล่มอยู่ที่หลวงเทพพี่ชายท่านใช่ไหม" อมรเทพพูดโดยมิมองหน้า
"โอหังนัก..." หลวงไกรคำราม "ข้ายังไม่มีเมีย แต่ดาวเรืองเจ้ารู้จักได้อย่างไร ข้าไม่ได้เจอน้องข้ามานานแล้ว"
"เชื่อข้าเหอะ เดี๊ยวเสร็จศึกบ้านบางระจัน ท่านก็จะกลับไปพระนครแล้วก็ได้แต่งกับดาวเรืองตอนนั้นแหล่ะ"
"เจ้าเป็นโหรรึ" หลวงไกรถามน้ำเสียงอ่อนโยนลงไปเยอะ
อมรเทพคำรามเสียงหัวเราะอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี เพราะคนที่ยืนอยู่ในกระโจมนี้มีชีวิตอยู่ในหนังสือที่เขาเคยอ่านพบ หลวงจบไกรแดน และ หลวงแสนพลพ่าย มาจาก หนังสือกรุงแตกของ หลวงวิจิตร ส่วนอีกคน หลวงไกร มาจาก สายโลหิต ของ โสภาค สุวรรณ เขารู้ดีว่าถ้าเขาพูดออกไปคงเหลวไหลในความคิดของสามคุณหลวง อมรเทพจึงได้แต่หัวเราะ หัวเราะทั้งน้ำตา
"เจ้ายังมิตอบข้าเลย เจ้าเปนโหรรึ ?" หลวงไกรย้ำคำถามเดิม
"ข้ามิใช่โหรดอก ว่าแต่ท่านช่วยปลดข้าให้ออกจากพันธนาการที ข้าสัญญาจะไม่คลุ้มคลั่งอีก" อมรเทพหมายความตามนั้น
หลวงจบไกรแดนเดินมาแล้วปลดผ้าพันออก อมรเทพกล่าวคำขอบคุณก่อนจะเดินออกจากกระโจมไป พระอาทิตย์ที่อ่าวหว้าขาวงามตาท้องฟ้าสีใสน้ำทะเลมีระยิบแห่งแสงรวี แต่อีกไม่นานนี้ ณ ทีนี้ความสวยงามเหล่านี้จะเจือไปด้วยเลือดแห่งกองทหารอาทมาตวิเศษไชยชาญ สามคุณหลวงเดินออกมาจากกระโจมและจับตาดูชายหนุ่มที่เหมือนจะแปลกแต่น่าสนใจคนนี้
"ข้าขอร่วมรบกับท่านได้ไหม คุณหลวงทั้งสาม" อมรเทพกล่าวคำโดยไม่ได้หันหน้าไปมอง
"ร่างกายเจ้าอ้อนแอ้นเช่นนี้ แต่งตัวเยี่ยงนี้จะไหวรึ" เสียงหลวงไกรตอบคำ
"ก็ไหน ๆ ข้าก็มีชีวิตที่แสนพิลึกแล้ว จะทำการณ์ที่มันพิลึกอีกซักหน่อยจะเป็นไรไป" อมรเทพพูดช้า ๆ ในชีวิตนี้เขาไม่เคยตบแม้แต่ยุงแม้แต่ตัวเดียว แต่ครานี้เขาจะทำในเรื่องที่เกินคาด แล้วเขาก็พูดต่อ "ว่าแต่ ท่านอย่าหวังสิ่งใดกับพระยารัตนาธิเบศร์มากนักก็แล้วกัน" อมรเทพทิ้งคำไว้ ก่อนจะเดินไปชมความงามรอบ ๆ อ่าว
อมรเทพเดินครุ่นคิดเรื่อยไปความงามแม้จะต้องตาแต่สถานการณ์และความเคลื่อนไหวก็ไม่เป็นที่น่าไว้วางใจ ไม่นานนักก็มีเสียงจากหุบเขามันสะเทือนลั่นปานฟ้าจะถล่ม เสียงเฮละโลดังขึ้นจากสี่ทิศแปดทาง อมรเทพหันไปจากจุดที่มาตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างในหนังสือประวัติศาสตร์ได้บอกไว้ การตะลุมบอนเกิดขึ้นกลางหาดทรายขาว เสียงอาวุธดังแปร่งปร่างลั่นปฐพีบ้างเสียดสีกับลมจนหวีดหวิว อมรเทพวิ่งกลับไปที่กระโจม จับอาวุธที่วางอยู่ตรงบริเวณนั้นแล้วกระชับเป้เดินทางที่ติดมาจากโลกของเขาให้เข้าร่าง
อมรเทพกระโดดกระโดดเข้าไปตะลุมบอนกลางหาดทราย เขากำดาบด้วยมือทั้งสองแล้วกวัดแกว่งมันหาศัตรูที่นุ่งโสล่งทุกหน้า อมรเทพกดน้ำหนักสุดแรงไปที่ข้าศึกเสียงไหปลาร้าแตกของศัตรูดังเข้ามาในหูของเขา เลือดสด ๆ กระเด็นเข้าสู่ใบหน้าและดวงตา อมรเทพเดินรบอย่างไม่คิดชีวิตหมายมั่นจะปลิดหัวคนที่เป็นอริราชแห่งศรีพระนคร
อมรเทพฟาดฟันไม่เลือกหน้า ร่างทหารพม่าร่วงหล่นสู่พื้นดุจใบไม้ อยู่ ๆ เค้าก็รู้สึกเจ็บปวดที่ต้นแขน อมรเทพหันไปดูจุดนั้น รอยบากยาวลึกเลือดสด ๆไหลทะลักออกมาเป็นสาย อมรเทพวาดดาบลงไปที่คนที่ลอบฟันก่อนจะปลดเป้ออกมา หยิบเข็มเย็บผ้าและขวดทิงเจอร์ อมรเทพราดทิงเจอร์ลงกับแผลก่อนจะควานหาขวดเบตาดีน เขาหยิบออกมาและหยดน้ำสีน้ำตาลลงที่ปากแผลแล้วบรรจงใช้เข็มเย็บผ้าเจาะลงไปในเนื้อและร้อยให้แผลปิดสนิท ก่อนที่เขาจะยันร่างขึ้น หลวงไกรก็ล้มลงต่อหน้า เหนือเข่ามีรอยแผลยาว อมรเทพส่งขวดทิงเจอร์และเบตาดีนให้คุณหลวงก่อนจะบอกว่า
"ใช้ซะ จะได้ไม่เป็นบาดทะยัก"
หลวงไกรทำตามอย่างว่าง่ายก่อนจะซู้ดปากเมื่อทิงเจอร์หยดลงบนปากแผล อมรเทพเดินฟันศัตรูอย่างบ้าคลั่งแม้เขาจะรู้ดีว่า การรบครั้งนี้ฝ่ายพ่ายแพ้คือใคร แต่เขาก็ตั้งใจรบต่อไปเพราะอยากรับใช้ชาติซักหน ในยุคที่เขาจากมา คนไทยดีแต่รบกันเองด่ากันเอง ไร้ซึ่งความสามัคคี ตั้งฝักฝ่ายตั้งป้อมทำลายล้างกัน จะมีซักกี่หนที่คนในยุคของเขาจะได้ทำเพื่อชาติอย่างแท้จริงเช่นนี้ อมรเทพมองหน้าหลวงจบไกรแดนและหลวงแสนพลพ่าย ก่อนจะกลับไปมองหน้าของหลวงไกรสีห์ราชภักดี
เขาต่างมาจากคนละที่ มาจากนิยายคนละเล่มแต่จุดหมายชีวิตต่อ ๆ ไปของเขาเหล่านั้นล้วนอยู่ในเส้นทางเดียวกัน คือ เดินสายฆ่าพม่าแม้ตัวตนของเขาจะต้องพ่ายแพ้ในทุกสมรภูมิ อมรเทพตัดสินใจว่าเค้าจะร่วมเดินทางกับคนเหล่านี้ และรู้ดีว่าสมรภูมิต่อไปของคนเหล่านั้นคือ บางระจัน
อมรเทพรู้ทุกอย่าง เขารู้แม้กระทั่งว่า หลวงไกรจะตายในต้นแผ่นดินกรุงธนบุรี แต่สองหลวงนี้จะตายในวันกรุงแตก อมรเทพเดินฟันศัตรูด้วยจิตฮึกเหิมก่อนจะหลั่งน้ำตาให้กับความกล้าของบรรพบุรุษไทย อมรเทพมองไปบนเขาเห็นเงากองทัพพระยารัตนาธิเบศร์ซึ่งกำลังย้ายพลหนี อมรเทพหัวร่อเบาพร้อมกับภูมิใจว่าประวัติศาสตร์ในยุคเขาเป็นที่พอเชื่อถือได้...
หลวงจบและหลวงแสนเดินมารบเคียงบ่าเคียงไหล่กับอมรเทพและตามติดด้วยหลวงไกร ทั้งสามต่างถามเป็นเสียงเดียวกันว่า
"ทำไมเจ้าถึงรู้ว่า พระยารัตนาธิเบศร์ไว้ใจไม่ได้"
"ท่านจะเชื่อไหมว่าข้ามาจากอนาคต หลังจากยุคของท่านไปหลายร้อยปี" อมรเทพหันไปทางหลวงไกร "คุณหลวง ขอทิงเจอร์กับเบตาดีนคืนด้วย"
"ข้าเชื่อ" หลวงจบไกรแดนพูดแต่มือยังคงฟาดอาวุธใส่เหล่าโจรร้ายต่อไป
"แล้วกรุงจะแตกไหม ไทยยังจะเป็นไทยไหม เจ้าบอกที" หลวงแสนพลพ่ายถามต่อ
"ไทยยังคงเป็นไทย แต่ไม่ใช่แผ่นดินศรีอยุธยา" อมรเทพตอบอย่างเจ็บใจ เพราะไทยแม้ยังเป็นไทย แต่ไร้ความสามัคคีอย่างสิ้นเชิง เพื่ออำนาจและลาภสักการะ ทำให้คนไทยด้วยกันมาฟาดฟันกันเอง แต่อมรเทพมิได้ตอบอะไรได้เพียงแต่ไปเสียแค่นั้น
"เราจะตายไหม" หลวงไกรถามต่อ
"ท่านจะตายทีหลัง ท่านจะตายในอีกแผ่นดิน"
"แล้วเราสองคนล่ะ"
อมรเทพทำเป็นไม่ได้ยินได้แต่เดินตะลุยรบ ขณะนี้รอบตัวเขามีทหารกองอาทมาตเหลืออยู่ไม่กี่คนแล้ว พม่าล้อมโอบกองทัพเข้ามา แม้เราจะพวกน้อยกว่า แต่ทุกคนก็ใจหาญที่จะสู้ อมรเทพกำดาบด้วยสองมือแน่นก่อนจะกระโดดเข้าใส่ทหารพม่าที่เป็นระดับนายกอง แต่ร่างเขาก็ต้องร่วงลงเมื่อนายทหารคนนั้นตวัดดาบกลับ ดาบหลุดกระเด็นจากมือ ร่างของเขาคลุกทราย นายทหารคนนั้นเดินสามขุมมาหาก่อนจะยกดาบขึ้น
จู่ ๆ ....
เสียงโทรศัพท์ที่อยู่ในกางเกงยีนส์ก็ดังขึ้น อมรเทพโบกมือให้นายกองพม่ารอเดี๊ยวซึ่งเขาก็ทำตามแต่โดยดี อมรเทพหยิบโทรศัพท์ออกมาและกดรับ
"อาเทพ ลื้อหายหัวไปไหนว้า พรุ้งนี้ต้องไหว้พระจันทร์น้าไอ้ลูกเวง กลับมากินข้าวให้ทันด้วย" ไม่ทันที่จะตอบอะไรไป คุณแม่ของเขาก็วางสาย
"เอายัง" นายกองคนนั้นถามอมรเทพ
"เออ ต่อเลย"
ดาบเล่มนั้นเสือกลงมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ถึงตัวเขา หลวงไกรกระโดดเข้ามาปัดคมดาบให้ห่างจากตัวเด็กหนุ่ม
"ขี้โกงนี่หว่า" นายกองคนนั้นโวยวาย "ถ้าเมื่อกี้ไม่มีอุ๊บอิ๊บ ไอ้นี่ตายไปแล้ว"
หลวงไกรไม่ฟังเสียง เขาเดินไปและตัดหัวของคนนั้นอย่างง่ายดายประดุจล้วงของในถุง
ทหารพม่าตีวงเข้ามาเรื่อย ๆ แม้จะมีคนร่วงหล่นแต่จำนวนที่มาเสริมก็มากล้นจนท่วมท้น หลวงไกรเจอวงล้อมบีบจนหลังชนกับหลวงแสน หลวงจบขยับถอยจนหลังมาชนกับอมรเทพ
ทั้งสี่คนยืนหลังชนกันแต่หน้าหันสู่ทิศทั้งสี่ ที่มองไปทางใดก็มีแต่ทหารพม่า... จู่ ๆ ท้องฟ้าก็เปลี่ยนสี กำลังพม่าก็ขยับจนหลังของคนทั้งสี่แนบกับจนเกือบจะหลอมเป็นเนื้อเดียว
อมรเทพยิ้มให้กับคนทั้งสี่ ก่อนจะพูดขึ้น "ข้าคงไม่ได้ไปบางระจันกับพวกท่าน แต่ข้ารู้ดีว่าพวกท่านจะได้ไปปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติด้วยความกล้าหาญต่อที่นั่น"
เสียงฟ้าผ่าลงมาโครมใหญ่ มันแรงจนผู้เป็นนักรบต้องสะดุ้งด้วยตกใจเสียง
"เจ้าพูดอะไร" หลวงไกรพูดขึ้น
"ข้าจะสู้ตาย" อมรเทพตอบเบา ๆ
"เจ้าจะตายไม่ได้" หลวงจบไกรแดนพูดด้วยเสียงดัง "เจ้าต้องจำภาพวันนี้ไปบอกให้ลูกหลานไทยของเราได้รับรู้สิ"
"ใช่" หลวงแสนพลพ่ายพูดเสริม "ให้คนรุ่นหลังได้รู้วีรกรรมของเรา พวกเขาจะได้มีสำนึกรักชาติต่อไป"
อมรเทพขำในใจ ก่อนจะตอบในใจอีกว่า "พวกมันน่ะรู้ แต่ไม่สำนึก ทุกวันนี้คนไทยกัดกันไม่ต่างกับหมา" อมรเทพกำดาบแน่นขึ้นก่อนส่งร่างออกไปในอากาศด้วยความเร็ว "ถ้าข้ารอดไปได้ เจอกันที่บางระจัน" อมรเทพรุ้ดีว่าการพุ่งไปข้างหน้าแบบนี้ก็ไม่ต่างจากการฆ่าตัวตาย ทหารนับหมื่นพันรอฉีกร่างของเขาเป็นชิ้น ๆ
"ไอ้หนุ่ม อย่าทำแบบนั้น" หลวงไกรตะโกนลั่น "เจ้าต้องหาทางกลับไปยุคของเจ้า ไปต่อสู้เพื่อยุคเจ้า"
อมรเทพขนลุกชันแม้เขาอยากทำแต่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะในยุคของเขาไม่มีใครฟัง คำพูดที่มีอิทธิพลในยุคปี 2000 คือคำพูดของนักการเมืองน้ำเน่าและเศรษฐีที่ไร้จริยะธรรม รวมไปถึงคำโกหกของดาราเลว ๆ ดังนั้นการจะมีอมรเทพในเมืองฟ้าอมรปี 2000 หรือไม่ ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญเลย
ฟ้าคำรามลงมาอีกครั้ง แสงขาว ๆ ปาดให้เรืองทั้งนภาจากมืดกลายเป็นสว่าง ร่างของอมรเทพที่กำลังลอยไปหาคมหอกคมดาบเหมือนถูกดูดลอยขึ้น อมรเทพทอดตาลงมาเบื้องล่างเขาเห็นสายตาที่ผู้คนมองร่างของเขาด้วยความแปลกใจ
จู่ ๆ ก้นของเขาก็กระแทกกับแผ่นไม้ อมรเทพสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นคนที่นั่งข้าง ๆ เป็น
"โดเรมอน"
แมวสีฟ้าหันมายิ้มกับเขาแล้วพูดเป็นภาษาที่ฟังออก
"เกิดความผิดพลาดนิดหน่อย โนบิตะเล่นซนไปนิด นายจึงมาอยู่ที่นี่ ขอโทษที"
อมรเทพยังมีสีหน้าตกใจ โนบีตะ จึงเดินมาใกล้แล้วพูดเป็นภาษาไทย
"นายคงรู้ใช่ไหม ว่า เรากับโดเรมอนมีวุ้นแปลภาษา ดังนั้นอย่าแปลกใจที่เราพูดภาษานายได้" พูดจบโนบิตะก็ยิ้มละไม
"กูไม่ได้ตกใจเพราะมึงพูดไทยได้ แต่กูงงว่ามึงโผล่มาได้ยังไง" อมรเทพตวาดสุดเสียง
"เอาน่า บอกแล้วไงว่า โนบีตะซนไปนิดรอเดี๊ยวเดียวจะไปส่งบ้านนะ"
ทันทีที่จบคำของโดเรมอน สิ่งที่ผ่านเข้ามาในม่านตาของอมรเทพก็มีแต่ความดำมืดและหลาย ๆ ครั้งเห็นเหมือนรูปนาฬิกาเรือนโตอยู่รอบกาย ความเร็วของการเคลื่อนที่ทำให้อมรเทพหูอื้อและตาลาย... ก่อนหนังตาของเขาจะปิดลงด้วยความเหนื่อยล้า ร่างกายของเค้าเหมือนจะดับลงทุกนาที...
อมรเทพค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา อ่าวหว้าขาวทอดยาวไกลอยู่ ณ เบื้องหน้า อมรเทพเอามือตบไปตามตัวอย่างร้อนรน เขาล้วงมือไปในกระเป๋า กดสายที่รับมาดู มันมีรายงานว่า แม่เขาโทรมาเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่าน และอมรเทพก็ได้รับไปแล้ว...
เหงื่อเม็ดเป้งผุดออกมาจากหน้าผาก อมรเทพคลำไปที่กระเป๋าอีกข้างก่อนจะล้วงมือเข้าไปและหยิบของในนั้นออกมา
เขามองสิ่งที่อยู่ในมือด้วยแววตาที่มุ่งมั่น มองรอยเลือดที่เปื้อนตรงฉลากของทิงเจอร์และฉลากขวดเบตาดี อมรเทพมองไปที่เลือดนั้นและเอามือลูบที่ต้นแขน เขาหยีตาด้วยความเจ็บปวดก่อนจะพูดกับตัวเองเบา ๆ
"แม้ไม่มีใครฟังเสียงกู กูก็จะทำยุคของกูให้ดีด้วยตัวกู กูจะตอบแทนบุญคุณของบรรพบุรุษด้วยการกระทำ"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น