วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ฤ ว่า ถูกแช่งเพียงเพราะงี่เง่า






ไม่ทราบว่าเพราะประหยัดมากไปหรือกินตับหมูมากเกินจนเกิดปฏิกิริยากับน้ำเชื้อ  จักรพรรดิเต้ากวงจึงได้มีพระโอรสที่อ่อนแอและพระโอรสองค์ที่อ่อนแอนี้ก็ได้เป็นฮ่องเต้ต่อจากพระองค์  ทรงพระนามว่า...  จักรพรรดิเสียนเฟิง  เป็นกษัตริย์จีนอีกพระองค์ที่ขึ้นสู่บัลลังก์ด้วยนิยายปรัมปรา   ในประวัติศาสตร์จีนมักจะมีนิทานปรัมปราคู่บัลลังก์นิทานนั้นมีอยู่ว่า  ฮ่องเต้พระองค์หนึ่งมีลูกชายที่เล็งไว้แล้วว่าจะให้สืบทอดบัลลังก์ต่อจากพระองค์สององค์  องค์หนึ่งเก่งกาจบู๊บุ๊นอีกองค์มักจะป่วยไข้เจ็บออด ๆ แอด ๆ และจะมีฉากต่อไปว่าฮ่องเต้จะจัดงานล่าสัตว์ขึ้น  องค์ชายองค์หนึ่งจะได้สัตว์มาล้นเข่งแต่อีกองค์จะไม่ได้เลยแล้วบอกว่า...

"นี่เป็นฤดูที่สัตว์มักผสมพันธ์  ลูกเห็นว่ามันเป็นการโหดเหี้ยมที่จะฆ่าสัตว์เหล่านั้น  เลยไม่ได้ล่ามา"  

คำตอบอย่างนี้ดูเหมือนเป็นคำตอบที่ดูดีมีเมตตาแต่จริง ๆ แล้วมันเป็นแค่คำตอบที่เสี้ยมที่สอนกันมาโดยที่ปรึกษาขององค์ชายซึ่งในประวัติศาสตร์มีเรื่องเล่าแบบนี้ไม่ต่ำกว่าสี่เรื่อง  แม้แต่ในชุนชิวถ้าข้าพเจ้าเข้าใจไม่ผิดและจำไม่พลาดก็มีเรื่องเช่นนี้เหมือนกัน   นั่นคือที่มาของจักรพรรดิเสียนเฟิง  จักรพรรดิผู้ทรงอัปยศที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติจีน  เพราะในสมัยเสียนเฟิงนี้เองที่รับช่วงความอ่อนแอมาจากพระราชบิดา  ความเสียหายจากสงครามฝิ่นและยังมามีเรื่องกับอังกฤษและฝรั่งเศสในสมัยปรัตยุบันทำให้เสียดินแดนเพิ่มต้องเผชิญหน้ากับการกดขี่ของต่างชาติและเสียเมืองท่าสำคัญมากมาย  มีศึกประชิดติดกรุงจนเป็นกษัตริย์เพียงไม่กี่องค์ของแผ่นดินจีนที่ต้องลี้ภัยต้องออกจากวังต้องห้ามเพื่อหนีตาย   นับว่าเป็นความอัปยศมาก   เพราะคนเป็นกษัตริย์ถ้ารักษาแผ่นดินของตัวเองไว้ไม่ได้แล้วไม่ว่าจะเชิงสัญญาเช่าหรือเสียถาวรก็ไม่ควรจะมีหน้ามาปกครองแผ่นดิน

เราหยุดเรื่องไว้แต่เพียงนี้ก่อนเพราะเรื่องที่ข้าพเจ้าจะเขียนถึงนั้นเป็นเรื่องของคน ๆ หนึ่งชื่อ เปอะจุ้น  คน ๆ นี้เป็นถึงมหาบัณฑิตในราชสำนักมียศอำมาตย์ช่วยกิจการบ้านเมืองมากมาย   เป็นคนดีที่ไม่ต้องประกาศเพราะชาวบ้านรากหญ้าต่างยกย่องและเป็นคนที่บัณฑิตนิยมแม้บัณฑิตเร้นกายก็ยังชื่่นชอบ   ในยุคนั้นคนมีความรู้ความสามารถเบื่อหน่ายกับราชสำนักที่ฟอนเฟะและเต็มไปด้วยระบบพวกพ้องจึงชังการเป็นขุนนาง   แต่ถ้ามีประกาศว่า เปอะจุ้น เป็นผู้คุมสอบบัณฑิตเหล่านั้นก็พร้อมออกมาจากม่านกำบังและสอบเข้ารับราชการเพราะเชื่อถือว่าจะได้รับความเป็นธรรมและการตัดสินของเปอะจุ้นก็ไม่มีการเอาพวกพ้องเป็นเกณฑ์   แต่ตำแหน่งแม่กองคุมสอบนี้ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ค่อยจะมีใครอยากรับตำแหน่งเพราะถือว่าโกงกินได้น้อยแต่ถ้าคนมองการณ์ไกลก็จะทราบว่าราชสำนักแมนจูนั้นมีโครงสร้างที่เอื้อกับระบบพวกพ้อง   ถ้าได้เป็นแม่กองคุมการสอบบัณฑิตก็จะยิ่งทำให้ตัวเองมีอำนาจและบารมีมากขึ้นในทันทีเช่นกัน  

ในเวลานั้นราชสำนักมีกังฉินหน้าใหม่ป้ายแดงเพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาเขามีนามกรว่า ซูซุ่น  คนผู้นี้มีจิตใจมักใหญ่ใฝ่สูงในหัวสมองเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมคิดทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้เป็นใหญ่ไม่มีการเลือกวิธี   ใครขวางทางจะถูกเขาใส่ร้ายและกำจัดทิ้งอย่างเหี้ยมโหด   ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่ซูซุ่นกำจัดทิ้งมักเป็นคนที่ทั้งแผ่นดินยกย่องว่าดี   ซูซุ่นไม่เพียงแต่โหดร้ายแต่เขายังอกตัญญูอีกด้วยเพราะเมื่อพูดถึงซูซุ่นก็ต้องพูดถึงคนดีศรีต้าชิงอย่าง อ๋องกง  คนนี้เป็นพี่น้องกับองค์เสียนเฟิงแต่ก็ต้องถูกบีบให้ออกจากราชการงานเมืองเพราะเจอคนอย่าง ซูซุ่น เล่นงานใส่ร้าย  ถ้าคนอ่านประวัติศาสตร์ยุคนี้ก็จะเห็นว่าความอัปยศที่เกิดขึ้นในยุคนี้นับได้ว่าเป็นความผิดพลาดของซูซุ่นถึงกว่าแปดสิบเปอร์เซนต์   เพราะความเอาพวกพ้อง  อยากได้หน้า  นิสัยชอบเพ็ดทูลใส่ร้ายคนดี  ทำให้แผ่นดินอ่อนแอจนเสียเปรียบต่างชาติและเกิดกลียุคในประเทศ   คงไม่ผิดนักที่จะบอกว่า ซูซุ่น คือตัวการทำให้ราชวงศ์ชิงต้องเจอทั้งศึกในและนอก   แต่ประกอบกับว่าฮ่องเต้ก็โง่งี่เง่า  สุขภาพก็ไม่ดีปัญญายังอ่อน  แผ่นดินจึงไม่มีเสาหลักคอยคุ้มกัน  

ในยามนั้นซูซุ่นต้องการขยายบารมีและอิทธิพลของตนเองจึงหมายมั่นที่จะได้ตำแหน่งหรือเพียงให้คนของตนเองได้ตำแหน่งแม่กองคุมสอบ   แต่มีพระราชโองการไปแล้วว่าให้ เปอะจุ้น เป็นคนคุมอีกและเปอะจุ้นก็เป็นคนของอ๋องกงที่ตนเกลียดชังจึงหาทางใส่ร้ายป้ายสี   ซูซุ่นสร้างแผนการและใช้เส้นสนกลในจึงทำให้เกิดความผิดพลาดในการสอบ   จอหงวนในปีนั้นได้แก่คนแบกเกี้ยวที่ไม่มีความรู้จึงเป็นที่ติฉินของเหล่าบัณฑิตและผลตรวจสอบก็เป็นความผิดพลาดจริง ๆ แต่มิใช่เป็นความผิดพลาดโดยตรงของเปอะจุ้น   แต่ซูซุ่นก็ไม่ปล่อยโอกาสเพ็ดทูลต่าง ๆ ยัดเยียดข้อหาต่าง ๆ จนเปอะจุ้นต้องถูกลงโทษอย่างไม่เป็นธรรม   โทษของเปอะจุ้นเพียงเล็กน้อยแค่ริบทรัพย์สินก็ถือว่าหนักหนาแต่ซูซุ่นดำเนินการเพ็ดทูลให้องค์กษัตริย์ที่สุขภาพไม่ดีและยังงี่เง่าจนดำเนินการประหารเปอะจุ้นเป็นผลสำเร็จ

แผ่นดินทุกแผ่นดินนั้นย่อมมีกังฉินตัวใหญ่บ้างเล็กบ้างขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของเจ้าแผ่นดิน   ถ้าเจ้าแผ่นดินอ่อนแอกังฉินตัวนั้นก็จะดูใหญ่คับบ้านคับเมือง  ถ้าเจ้าแผ่นดินแข็งแรงกังฉินตัวนั้นอาจถูกปราบเบ็ดเสร็จหรือไม่กล้าบังอาจทำตัวเลวทรามหรือไม่ได้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งสำคัญ   อย่างเช่นยุคของ หย่งเจิ้น คังซี  จะเป็นยุคที่ไม่มีกังฉินตัวฉกาจฉกรรจ์เลยเพราะถึงมีก็เจอความเข้มแข็งและสติปัญญาที่เฉียบคมของเจ้าแผ่นดินกำราบลงได้อย่างง่ายดาย   กษัตริย์ทุกพระองค์มักนิยมให้ขุนนางและอำมาตย์เทิดทูนชอบเสพคำสรรเสริญเป็นอาหารว่างยามจิบชา  นอกจากคำว่า "ทรงพระเจริญ"  ก็ยังมีคำว่า  "ทรงพระปรีชาสามารถ"  ทั้ง ๆ ที่เรื่องที่เสนาอำมาตย์เหล่านั้นชมก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ใครก็ทำได้แต่เหมือนว่าสัตว์โลกที่มีฐานะเป็นฮ่องเต้นั้นจะชอบและดื่มด่ำกับคำนั้นจนทำให้หลงตัวเองว่าข้าเก่งข้าแน่เสียเหลือเกิน   ทั้ง ๆ ที่พอเรื่องบางเรื่องหลุดรอดออกมาสู่ชาวบ้านแล้วเขาจะแสยะปากแล้วพูดว่า  "ปัญญาอ่อนก็ตามที"   เพราะถ้าฮ่องเต้ปรีชาสามารถจริงคงไม่ปล่อยให้มีอำมาตย์เหิมเกริมกลั่นแกล้งประชาชนและแกล้งคนดี   ถ้าฮ่องเต้ปรีชาสามารถจริงคงไม่ให้คนสารเลวได้ดีและยกให้เป็นที่เคารพของประชาชนทั่วไป   แต่เพราะฮ่องเต้ปัญญาอ่อนซ้ำยังสุขภาพไม่ดี   อำมาตย์จึงเหิมเกริม  เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าสมัยเสียนเฟิงฮ่องเต้นั้นช่วงบั้นท้ายของพระองค์เจอโรครุมเร้าจนให้ซูซุ่นได้บริหารงานแทนความเหิมเกริมของมันจึงมากเป็นทวีคูณ

จุดจบของซูซุ่นสุดท้ายแล้วก็ลงเอยเหมือนดั่งเหอเซินและจบชีวิตเหมือนกังฉินทั่ว ๆ ไปในแผ่นดินจีน   แต่ต้องยกมาเปรียบกับเหอเซินเพราะว่าซูซุ่นในแผ่นดินเก่า  แผ่นดินของเสียนเฟิง ฮ่องเต้ผู้มีสุขภาพอ่อนแอและปัญญาอ่อนนั้นฮ่องเต้ได้ให้ท้ายและหลงเชื่อมากมายทำให้คนดี ๆ ไม่อาจกำจัดมันลงได้   เช่นเดียวกับเหอเซินเลวแสนเลวชั่วแสนชั่วแต่อยู่ในแผ่นดินเฉียนหลงแม้มีความผิดก็ไม่อาจลงทัณฑ์   แต่พอสิ้นรัชกาลก็เจอบาปกรรมตามตัว   แต่ผลกรรมความแค้นความเจ็บปวดเหล่านั้นไม่ได้เพียงแค่ตกอยู่กับกลุ่มขุนนางหากแต่ตกมาถึงชาวบ้านที่เจอขุนนางชั่วนั้นกดขี่  ที่ต้องรอคอยเพียงแต่ว่าเมื่อไหร่จะเปลี่ยนแผ่นดินคนเหี้ย ๆ ถึงจะตายเท่านั้นเอง   ในยุคของเสียนเฟิงและเฉียนหลงชาวบ้านผู้เดือดร้อนแม้ไม่ได้เกลียดฮ่องเต้เป็นการส่วนตัวแต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าก็ต้องมีการสาปแช่งให้เฉียนหลงและเสียนเฟิงตาย   เพราะฮ่องเต้สององค์นั้นให้ท้ายและโง่เง่าที่ปล่อยให้ขุนนางเลว ๆ ครองเมือง

จริงไหม ...

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

แม้แต่กฏมณเฑียรบาลก็แก้ได้ ถ้ามันยังประโยชน์มาให้แก่ผู้แก้






สืบเนื่องจากตอนที่แล้ว  ตอนไหน ?  ก็ตอนที่ข้าพเจ้าเขียนถึงฮ่องเต้ผู้เป็นยอดแห่งความประหยัดอย่างไร...   วันนี้ข้าพเจ้าก็จะกล่าวสืบเนื่องในเหตุการณ์ยุคนั้น  เมื่อฮ่องเต้เต้ากวงเริ่มประหยัดเริ่มปฏิวัติครัวหลวงท่านก็ไปต้องลิ้นกับอาหารอย่างหนึ่งซึ่งเรียกว่า ตับหมูยัดไส้  ท่านได้สั่งให้คนออกไปดูและจดจำวิธีการทำอาหารของร้านนั้นและนำมาปรุงในวังเพื่อเป็นการประหยัด   เพราะท่านคิดเอาเองว่าอาหารชาวบ้านต้องธรรมด๊าธรรมดาไม่แพงเลิศหรือราคาหูฉี่นัก   และคาดว่าท่านคงทรงโปรดปรานอาหารชนิดนี้เป็นทุนเพราะมิฉะนั้นแล้วก็คงไม่สามารถกินได้ทุกวันอย่างแน่นอน   แต่เมื่อบัญชีรายรับรายจ่ายออกมาท่านก็ต้องตบโต๊ะผางแล้วกริ้วหนักเพราะค่าใช้จ่ายไม่ได้น้อยลงเลยแต่กลับกลายเป็นแพงกว่าเดิมท่านจึงเรียกคนมาถามซึ่งเหตุผล   ท่านจึงได้รับคำตอบว่าตับหมูที่ทำในวังนั้นต้องแพงเพราะ  หมูตัวเดียวมีตับหนึ่งอัน  เมื่อจะเอาตับก็ต้องฆ่าหมู

"แล้วเนื้อหมูล่ะวะ  เนื้อหมูหายไปไหน"  เต้ากวงโกรธพิโรธเอามือชี้หน้าเสนา

"เนื้อหมูก็ต้องทิ้งไปเพราะกฏมณเฑียรบาลของเรา  ไม่มีใครกินของที่ทำถวายองค์ฮ่องเต้ต่อได้พะยะมะห่ะ"  เสนาว่า

"แล้วทำไมเนื้อหมูไม่เอามาทำอาหารอะไรอย่างอื่นเล่า"  ฮ่องเต้เริ่มโมโหมากขึ้น

"เพราะพระองค์ไม่ได้สั่ง"  เสนาตอบ

"ไอ้สัตว์"  ฮ่องเต้ว่า

ดังนั้นท่านจึงสั่งให้ปิดครัวไปเลยถ้าคนรับคำสั่งมันโง่เง่าเต่าตุ่นอย่างนี้แทนที่จะได้ของถูกกลับแพง  ตับหมูยัดไส้  ชาวบ้านซื้อกินชามละไม่กี่บาทกี่เฟื้องกลับกลายเป็นแพงเกินราคาที่คาดการณ์ก็ต้องปิดครัวไปจึงจะดีแล้วท่านก็สั่งว่า  ต่อจากนี้ไปไม่ต้องให้ครัวหลวงทำอะไรไม่ต้องสั่งของเข้ามาเพราะถ้าฮ่องเต้และสนมนางในจะกินอะไรก็ไปซื้อเอาจากข้างนอก   แต่การก็ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้นเพราะมีกฏมณเฑียรบาลเขียนไว้เป็นตัวอักษรชัดว่า  "ห้ามฝ่ายในซื้อของหรืออาหารเข้ามาจากภายนอก  อาหารการกินของฝ่ายในต้องทำออกมาจากครัวหลวงทั้งสิ้น"   กฏนี้มีมาตั้งแต่สมัยไหนข้าพเจ้าไม่ทราบแต่คิดว่าจำเป็นต้องมี   เพราะภัยอันตรายมันเยอะไม่เหมือนอาหารที่มาจากฝ่ายในที่คัดสรรแล้วแต่ของดี ๆ อาหารแต่ละอย่างแต่ละชิ้นต้องตรวจสอบละเอียดยิบว่ามีเมลามีนหรือสารตกค้างกระทั่งสารพิษไหม   เพื่อความปลอดภัยของฮ่องเต้และโคตรวงศ์  ดังนั้นสิ่งที่เต้ากวงคิดจึงเป็นไปไม่ได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน

แต่ก็ไม่ลำบากอะไรเมื่อเต้ากวงย้อนถามว่า  "กฏมณเฑียรบาลมีไว้เพื่ออะไร"

"มีไว้เพื่อทำนุบำรุงและปกป้องพระองค์พระเจ้าข้า"

"ดี  ถ้าอย่างนั้นก็แก้ซะ  เพราะการที่ข้าต้องการให้ไปซื้อของสำเร็จรูปมาแดกเพื่อรักษาดุลย์การเงินในวัง"

"มันเป็นกฏมณเฑียรบาลพระเจ้าข้า  แก้ไม่ได้ง่าย ๆ "

"กฏมณเฑียรบาลสร้างขึ้นโดยใคร"

"โดยบูรพกษัตริย์องค์ก่อน ๆ พระเจ้าข้า"

"ดังนั้นข้าก็มีสิทธิที่จะแก้ได้เพราะข้าคือกษัตริย์ปรัตยุบัน"  (เอากับมันซิ)

สุดท้ายกฏมณเฑียรบาลข้อนั้นก็ถูกลบออกอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้กำลังภายในใด ๆ ผลักดันเลย   ฮ่องเต้บอกว่าให้แก้ไขก็ต้องแก้ไขหรือใครจะกล้าเถียง...

ถ้าใครดูละครพีเรียดมาบ้างก็จะทราบและเคยเห็นผ่านหูผ่านตามาบ้างว่าละครหลายเรื่องตัวละครหลายตัวมีปัญหากับกฏมณเฑียรบาลมากมายเหลือเกิน   ซึ่งแต่ก่อนคนไทยอาจจะได้เห็นจากแค่ละครจีนแต่วันนี้ละครเกาหลีเข้ามาเราก็คงได้เห็นจากละครเกาหลีมากมายพอดู   กฏมณเฑียรบาลบางทีก็เป็นปัญหามากกว่าจะเป็นประโยชน์แต่จะไม่มีมันก็ไม่ได้เพียงแต่ถ้าคนรู้จักผ่อนปรนไม่ใช่ปล่อยให้กฏมารัดคอมันจะเป็นสิ่งที่ดี   และที่สำคัญกฏนี้มันสร้างขึ้นด้วยคนดังนั้นถ้ามันจะแก้ไขก็ต้องเป็นคนและตั้งแต่ดูมาก็เห็นแก้กันได้เกือบทุกเรื่องแม้กฏสำคัญอย่างหนึ่ง  

ในยุคต้นราชวงศ์ชิงมีกฏข้อหนึ่งคือ  "ห้ามเชื้อพระวงศ์แต่งหญิงฮั่น"  เพราะในยุคแรกนั้นนูรฮาฉีกับหวงไท้จี๋เป็นไท่จงไท่จู้ได้เล็งเห็นว่าการแต่งเอาชาวฮั่นเข้ามาในราชวงศ์จะเกิดปัญหาเพราะระยะแรกแมนจูยังไม่แข็งแรงและเสถียรภาพถ้าแต่งหญิงฮั่นเข้าวงศ์มาจะทำให้เลือดแมนจูแท้ ๆ เสียไป  ที่เขากลัวเช่นนั้นเพราะกลัวว่าถ้าเผลอไปมีกษัตริย์เป็นเลือดชาวฮั่นแล้วกษัตริย์คนนั้นจะรักษาผลประโยชน์ฮั่นมากกว่าแมนจูนั่นเอง   แต่สุดท้ายแล้วก็กฏที่ดูเหมือนจะสำคัญมากนี้ก็ต้องถูกแก้ไขในรัชสมัยคังซีเพราะพระองค์นิยมในตัวหญิงฮั่นมากเมื่อย่าของพระองค์ตายไปแล้วจึงแก้กฏนี้โดยให้เหตุผลว่า  "ฮั่นกับแมนจูพี่น้องกันใช่ใครอื่น"  แต่คังซีก็ระมัดระวังในการคัดเลือกผู้สืบสานสันตติวงศ์ปัญหาที่น่ากลัวจึงไม่เกิดขึ้น  แต่สุดท้ายก็มีข่าวลือและตำนานมากมาย  โดยเฉพาะมีคนเชื่อว่า  ฮ่องเต้หย่งเจิ้นและเฉียนหลงเป็นลูกผสมชาวฮั่นหาใช่แมนจู 

สิ่งที่ข้าพเจ้าจะสื่อออกมานั้นเพียงเพราะอยากให้เห็นว่ากฏทุกอย่างบนโลกนี้ไม่ว่าใครจะมองว่ามันหนักแน่นปานขุนเขาหรือบางเบาเพียงขนนกมันสามารถแก้ได้หมดสิ้นถ้าคนจะทำและมีเหตุผลพอไม่ว่าจะเป็นกฏหมายหรือกฏมณเฑียรบาล  ประวัติศาสตร์สอนให้ข้าพเจ้ารู้ว่าไม่มีอะไรที่แก้ไขไม่ได้เพียงแต่คนจะกล้าแก้มันหรือไม่และบุคคลที่เกี่ยวข้องต้องการแก้หรือไม่เท่านัน้เอง  แต่ประวัติศาสตร์ก็สอนข้าพเจ้าอยู่เองเหมือนกันว่า  การแก้กฏหมายต่าง ๆ นั้นโดยเฉพาะกฏมณเฑียรบาลผู้ที่จะแก้ไขคือต้องการใช้ประโยชน์และมีผลประโยชน์ที่ตัวเองต้องการหรือเรียกได้ว่าแก้เพื่อสนองความสุขของตน   คังซีแก้เพื่อจะเอาเมียฮั่น  เต้ากวงแก้เพราะจะได้กินตับหมูราคาถูก   ก็ไม่ต่างจากประเทศอื่น ๆ และที่อื่น ๆ ที่มีกฏหมายว่าด้วยกฏมณเฑียรบาล  บางแห่งละเมิดกฏนั้นเสียเฉย ๆ อาทิว่า  แต่งงานออกไปแล้วถือว่าสิ้นฐานันดรศักดิ์ทุกอย่าง  แต่เอาเข้าจริงไม่มีที่ไปกลับมา ณ ประเทศสารขัณฑ์ก็บังคับให้คนกราบไหว้เหมือนเดิม  ทั้ง ๆ ที่มีข้อกำหนดชัดเจนว่าแม้เป็นเจ้าแต่ถ้าแต่งออกไปก็สิ้นฐานันดรศักดิ์ถือว่าเป็นคนธรรมดา    กฏมณเฑียรบาลบางประเทศแก้กันง่าย ๆ อย่างนั้นและตีลูกมั่วนึกว่าประชาชนไม่จดจำ   แต่ในการกลับกันกลับไม่มีการแก้กฏหมายบางข้อที่ส่งผลกระทบถึงผู้คนทั้งประเทศโดยตรงโดยอ้างว่า...  "มันคือกฏหมายสำคัญและเพื่อดำรงไว้ซึ่งความถูกต้อง"

แต่ไอ้ที่แก้ไปแล้วหรือทำเนียนไปแล้วบ้าง...  อันนั้นไม่นับใช่หรือไม่...

แต่ข้าพเจ้าก็พอเข้าใจเพราะบางประเทศนั้นคำว่า กฏหมายเป็นเหมือนคาถาที่เอาไว้กันผีและผู้ที่ถือมันและบังคับใช้ก็ไม่ต่างจากหมอผี   ถ้าผีไม่ลงหม้อก็เอาข้าวสารเสกสาดถ้าผีไม่ลงหม้อก็เอาหวายตีโดยที่หมอผีคนนั้นต้องการเพียงน้ำมันพรายจากบรรดาผีที่เขาทารุณกรรม   มันคือความไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งของโลกและสังคม

เมื่อสิ้นราชวงศ์แมนจูเรื่องเล่าเหล่านี้ก็กลายเป็นเพียงเรื่องเก่าเก็บที่ไม่ได้มีสาระสำคัญอันใด  ไม่จำเป็นต้องเอามาหยิบอ่านซ้ำเพื่อตอกย้ำความเป็นไปในสังคมหรือบางคนก็อาจจะบอกว่ามันเป็นเรื่องของประเทศจีนไม่ได้เกี่ยวกับไทย   แต่ถ้าเรามองและหยิบจับเอาแต่เพียงประเด็นก็จะเห็นถึงความคล้ายคลึงและนัยยะสำคัญโดยเฉพาะ  "คนที่คิดจะแก้กฏหมายหรือกฏมณเฑียรบาลต้องได้ประโยชน์จากมันหรือต้องการเพียงจะหาประโยชน์และโกยความสุขใส่ตน"   นี่คือพฤติกรรมที่เหมือนกันทั้งไทยจีน

วันนี้กฏหมายหลายมาตราของเราไม่เป็นธรรม  แม้กระทั่งตัวรัฐธรรมนูญก็มีคนเรียกร้องให้ปรับเปลี่ยนปรับปรุงแก้ไข   แต่ก็มีพวกเต่าล้านปีออกมาต่อต้านทั้ง ๆ ที่วันหนึ่งมันรับของโจรและส่งเสริมให้ฉีกรัฐธรรมนูญด้วยซ้ำไป   และวันนี้ประเทศเราก็มีการต่อสู้เรื่องกฏหมายบางมาตราที่ไม่เป็นธรรมและแน่นอนก็มีพวกเต่าล้านปีออกมาโต้ว่า  "มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้"  ทั้ง ๆ ที่คนเรียกร้องไม่ได้ต้องการให้ยกเลิกเพียงแต่ให้มีการปรับปรุงและทำให้ชัดเจน   แต่ก็เป็นเรื่องยากเพราะบังเอิญว่าคนถือกฏหมายและคนที่มีสิทธ์จะแก้กฏหมายนี้ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรกับการกระทำ   แม้เพียงจะให้กฏหมายถูกบังคับใช้อย่างเป็นธรรมยังไม่เคยจะมี  

คนพูดผิดพลาด  ติดคุก  คนพูดลิเก  ติดคุก  ศัตรูคนไม่ชอบหน้า  แกล้งให้ติดคุก  แต่ถ้ากฏหมายนี้มีการบังคับใช้อย่างเป็นธรรมแล้วล่ะก็จะเห็นได้ชัดว่าแม้คนที่ไม่ใช่แดงก็ต้องเข้าคุกกันอีกมากหลายทีเดียวแต่วันนี้กฏหมายตัวนี้ปฏิรูปปรับปรุงไม่ได้เพราะมันเป็นกฏหมายที่เอาไว้กลั่นแกล้งคนเสื้อแดงและเป็นกฏหมายที่ใส่ร้ายคนเสื้อแดงที่ดีที่สุด

ดังนั้นถ้าคนแก้กฏหมายหรือเพียงปรับปรุงต้องเสียอำนาจที่ต้องการไป  แล้วจะมีการแก้ไขได้อย่างไรใครเล่าจะยอมเสียผลประโยชน์ของตนเอง  จริงไหมพระคุณท่าน...

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ประหยัดหรือแค่สร้างภาพว่าประหยัด แต่สุดท้ายรับผลเหมือนกัน

ในราชวงศ์แมนจู  ข้าพเจ้ายกเรื่องราวต่าง ๆ มาเล่ามากมายแล้วซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็รู้เพราะเรือ่งที่เขียนนั้นก็เป็นประเด็นใหญ่ที่อ่านเจอได้แม้กระทั่งจากหนังสือคู่สร้างคู่สม  แต่ข้าพเจ้าปรับเปลี่ยนและใส่ความคิดของข้าพเจ้าลงไป  แต่ไม่เคยหยิบเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มาเขียนเลยทั้ง ๆ ที่ข้าพเจ้าเชื่อมั่นพอสมควรว่า  ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ชิงข้าพเจ้าก็พอรู้อยู่บ้างเหมือนกัน  ดังนั้นวันนี้ก็คงจะเขียนเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เป็นเกร็ดซึ่งไม่คิดว่าจะเคยมีใครเอาไปเขียนในคู่สร้างคู่สม   เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยจักรพรรดิเต้ากวง  ราชโอรสในจักรพรรดิเจี่ยชิง  ข้าพเจ้าจะไม่เล่าว่าเขาเป็นมายังไงลูกใครหลานใคร  คงไม่เล่าแต่จะขอยกตอนที่เขาขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้วและพบว่า  ประเทศจีนที่เขาปกครองอยู่ประเทศที่เขาเคยภูมิใจในความยิ่งใหญ่นั้นกำลังอดอยาก  ข้าวยากหมากแพง  ชาวบ้านในยุคนั้นอดอยากแม้กระทั่งแม้ต้องขายลูกเพื่อหาข้าวกิน  คนจรจัดต้องขุดหลุมศพเอาผู้วายปราณมากินประทังชีวิต

หลังจากถูกปิดหูปิดตามานานแล้วได้มาพบความจริงความกริ่งเกรงว่าราชวงศ์ของบรรพชนจะสิ้นสูญก็ผุดขึ้นในกมลมาลย์  เต้ากวงเลยเกิดขัตติยะมานะและตั้งใจทำงานเพื่อจะรักษาสมบัติของบรรพชนซึ่งสมบัตินั้นก็คือ  อำนาจเหนือแผ่นดินจีนที่กว้างใหญ่นั่นเอง   สิ่งหนึ่งที่เต้ากวงได้พบว่าถ้าปล่อยปละละเลยต่อไปอาจจะฉุดให้แผ่นดินถึงกาลวิบัติได้นั่นก็คือ  รายจ่ายที่มากมายอย่างมหาศาลของราชสำนัก   เขาตรวจสอบทุกอย่างด้วยตัวเองเช็คบัญชีทุกหน้าแรก ๆ เขาเพ่งเล็งไปที่การกินสินบาทคาดสินบนของขุนนาง   แต่สุดท้ายเขาก็ตะลึงลานตาค้างเพราะสาเหตุจริง ๆ ที่ก่อให้เกิดรายจ่ายมากที่สุดก็คืออย่างที่บอกไป  รายจ่ายในราชสำนัก

ค่าใช้จ่ายเลี้ยงลูกหลานกองธงทัพต่าง ๆ ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับเสื้อผ้า  ค่าอาหารการกิน  ค่าพาหนะ  ค่าบำรุงรักษาวังต่าง ๆ ที่มีมากมายและต้องบำรุงรักษาต่อปีเป็นเบี้ยมหาศาล   มีคำกล่าวว่ากระเบื้องที่ปูราดหลังคาในพระราชวังและตำหนักต่าง ๆ เพียงแผ่นเดียวก็มีค่าควรเมือง   เพราะกว่าจะได้กระเบื้องที่ได้มาตรฐานพอที่จะปูหลังคากู้กงและพระตำหนักต่าง ๆ ได้ต้องผ่านการเผาการเคลือบจนมีสีที่เสมอกัน  มันวาวตามมาตรฐานที่ต้องการ  จนเขาพูดกันว่า  "การเผากระเบื้องจนได้มาหนึ่งแผ่นต้องใช้งบประมาณเป็นหมื่นตำลึง"   ดังนั้นเมื่อเต้ากวงรวบรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดก็เริ่มมาตรการในการประหยัดเพื่อพิทักษ์รักษาราชบัลลังก์

ท่านเริ่มตั้งแต่การประหยัดเครื่องแต่งกาย  ไม่มีนโยบายให้ตัดเย็บเสื้อผ้าใหม่จนกว่าชุดเดิมจะใช้ไม่ได้   ท่านใช้จนขาดแล้วส่งให้นางกำนัลปะชุน  แต่พระองค์ไม่เคยรู้เลยว่าเส้นด้ายที่เอามาร้อยเย็บเครื่องทรงของท่านนั้นก็ต้องใช้ด้ายไหมพิเศษที่ราคาแพงระยับ   ท่านจึงแก้ไขใหม่ด้วยการยกเลิกการกรอด้ายแล้วส่งเสื้อผ้าไปปะชุนนอกพระตำหนักเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายที่มากมายของขั้นตอนในรั้ววัง  แต่กระนั้นเต้ากวงก็ไม่ได้ทราบเลยว่า  สิ่งที่พระองค์กำลังภูมิใจว่าประหยัดจนได้โล่ห์กลับกลายเป็นช่องทางหาเงินให้กับคนกลุ่มหนึ่ง   เต้ากวงไม่เคยรู้มาก่อนว่าค่าปะชุนนั้นโดยปกติตัวหนึ่งชุดหนึ่งไม่กี่อีแปะแต่ขุนนางที่ท่านทรงใช้เรียกเก็บตัวละห้าตำลึง   เต้ากวงหลงดีใจที่ได้ราคาถูกแต่ท่านไม่รู้ว่าพอเรื่องนี้หลุดออกไปนอกวัง  ผู้คนและขุนนางต่างหัวร่อและสมเพชในความโง่เง่าของพระองค์

ท่านให้ยกเลิกการทำครัวหลวงที่ฟุ่มเฟือย  ยกเลิกการกินทิ้งข้าวทำกับข้าวมื้อละเป็นร้อย ๆ อย่างแล้วหันกลับไปซื้อของจากนอกวัง   คำว่า ตำรับฮ่องเต้  เริ่มเกิดขึ้นมาในยุคนี้เพราะถ้าขุนนางกินอะไรแล้วอร่อยก็จะหอบหิ้วไปให้ฮ่องเต้กินในวัง   ถ้าพระองค์ติดใจก็ให้คนออกมาซื้อแทนเครื่องเสวยในวัง   แล้วก็เกิดปัญหาตามมาคือร้านค้าขึ้นราคาเพราะทนงว่าอาหารของเขาเป็นอาหารฮ่องเต้   แม้กระนั้นก็ตามแม้ค่าอาหารของฮ่องเต้ที่ทรงคิดประหยัดก็ยังถูกบวกหัวคิว   เป็นที่ขบขันอย่างยิ่งในสายตาของประชาชน

และไม่ใช่มีเรื่องเพียงเท่านี้มันมีอีกหลาย ๆ เรื่องที่พระองค์ทรงทำให้ขุนนางและประชาชนเห็นเป็นตัวอย่างว่าอะไรคือความประหยัด  แม้เจ้าเหนือหัวเจ้าแผ่นดินยังนิยมการประหยัดดังนั้นประเทศชาติก็น่าจะดีขึ้นเพราะทุกคนพอเพียง  แต่ในความเป็นจริงการที่พระองค์ทรงเช่นนั้นไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยเพราะปัญหาที่เกิดขึ้น  ชาวบ้านอดอยาก  ไม่ใช่ปัญหาเรื่องประชาชนฟุ่มเฟือย  แม้ฮ่องเต้จะประหยัดแต่เงินก็ไปตกอยู่กับขุนนางเจ้าเมือง   และขุนนางเจ้าเมืองก็ไม่ได้แก้ปัญหาอะไรชาวบ้านเลยอดอยากยากเย็นอยุ่เหมือนเดิมไม่ต่างกันไม่ต่างกับที่เคยเป็นมาก่อนเลย  ฮ่องเต้เต้ากวงหลงเข้าใจว่าการที่พระองค์ประหยัดให้ขุนนางเห็น  ขุนนางจะเอาเยี่ยงอย่าง  แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้นเพราะขุนนางเจ้าเมืองก็ยังเป็นเจ้าที่ดินและกักตุนสินค้าอย่างเดิม  ประชาชนก็ยังอดอยากเหมือนเดิม  แล้วประโยชน์อะไรที่เต้ากวงทำเช่นนั้นเพราะไม่เพียงเปิดทางให้ขุนนางฉ้อฉลกันมากขึ้นแต่ยังทำให้คนขบขันในความโง่เง่าของพระองค์อีกด้วย

มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจนะครับประเด็นนี้  เพราะถ้าพูดจากใจจริงแล้วสิ่งที่เต้ากวงทำนั้นไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี  มันเป็นสิ่งที่ดีมันเป็นสิ่งที่พยายามทำจริง ๆ เพื่อเกิดผลจริง ๆ แต่พระองค์เพียงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วต้นตอของปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นหากแต่อยู่ที่ระบบขุนศึกและเจ้าของที่ดิน   ดังนั้นก็ไม่อาจจะไปว่ากล่าวอะไรเต้ากวงได้มากกว่าข้อหา  โง่งี่เง่า

แต่ถ้าเต้ากวงกระทำกลับกัน  ปากบอกให้คนประหยัดแต่กลับยังคงใช้ชีวิตหรูหราและเปี่ยมด้วยอภิสิทธ์อยู่อย่างเดิม   ปากบอกให้ประหยัดแต่ใส่เสื้อผ้าแพงระยับนั่งเกี้ยวราคาแพงสี่คนหามสามคนแบกต้องเอาแส้ฟาดขอทางเป็นกิโล ๆ ใช่ไพร่พลมากมายในขบวนเสด็จ  เปิดวังเป็นดอกเห็ดและออกประพาสไปที่ต่าง ๆ เป็นว่าเล่น  อันนั้นเรียกได้แค่ว่า  ประหยัดเพื่อสร้างภาพประหยัดพอเพียงเพื่อหลอกชาวบ้านไปวัน ๆ เท่านั้นเอง  ถ้าเต้ากวงทำเช่นนั้นก็คงจะเรียกได้อีกอย่างว่า  โง่เง่าและเลวทรามสุดสามานย์

มันเป็นเรื่องที่ต่างกัน...  แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือถ้าระบบขุนนางขุนศึกเจ้าที่ดินตั้งใจทำงานบริหารอย่างเป็นธรรมให้ประชาชนเป็นสุขสงบยามหิวมีข้าวกินยามหนาวมีที่ซุกหัวมีผ้าห่มห่อ  ประชาชนก็คงไม่เป็นศัตรูกับฮ่องเต้เต้ากวงดอก  เพราะเมื่อประชาชนเป็นสุขมีชีวิตที่ดีเขาก็ไม่มองหาความผิดพลาดของชนชั้นปกครอง   แต่นี่เต้ากวงกลายเป็นตัวตลกแห่งแผ่นดินเพียงเพราะอะไร  เพียงเพราะประชาชนอยู่อย่างลำบากลำบนภายใต้การปกครองของขุนศึกและเจ้าที่ดินที่ไม่ได้เรื่อง  ดังนั้นมันจึงเป็นสัจธรรม  เมื่อประชาชนอดอยากเขาก็ต้องกล่าวโทษคนที่รีดนาทาเร้นทำนาบนหลังของเขาและอยู่อย่างสุขสบายและแม้ฮ่องเต้จะประหยัดจริงหรือประหยัดเพื่อสร้างภาพ  ประชาชนเขาก็ไม่แยกแยะหรอกครับ   เพราะเขาถือว่า  ในแผ่นดินนี้ไม่มีใครอยู่สุขสบายเท่าฮ่องเต้ดังนั้นเมื่อเขาทุกข์ยากและเดือดร้อนคนเป็นฮ่องเต้ต้องรับผิดชอบไม่ว่าจะกรณีใด ๆ  เพราะฮ่องเต้เป็นเพียงคนเดียวที่แทบไม่ต้องทำงานแต่อยู่อย่างสบายไปทั้งโคตรเหง้าและสืบสันดานต่อไปจนแทบไม่มีวันจะจบสิ้น

แต่ในที่นี้ก็ยังย้ำชัดว่า  ถ้าเต้ากวงเป็นฮ่องเต้ที่สร้างภาพว่าตัวเองประหยัดแต่ยังใช้ชีวิตหรูหราไม่เปลี่ยนแปลง  เต้ากวงนั้น  โง่เง่าและเลวทรามสุด  เลวทรามกว่าสัตว์นรกที่อยู่ในอเวจี

เจริญพร 

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

จดหมายจากคลองกระจง ถึง นายสนอง เทพอักษรณรงค์ (สมาชิกภูมิใจไทย ลูกน้องยี่ห้อยร้อยยี่สิบ)





ข้าพเจ้าอ่านหนังสือประวัติศาสตร์มาก็หลายเล่มโดยเฉพาะประวัติศาสตร์ด้านเอเซียแต่จะหนักไปทางจีน   ข้าพเจ้าอ่านมานานจนสังเกตได้ว่าจุดล่มสลายของแต่ละราชวงศ์ของจีนนั้นมีจุดจบคล้าย ๆ กัน   นั่นคือ ความอดอยาก  แม้จะมีเรื่องราวมากมายเรียงร้อยแต่เพราะความอดอยาก  ฮ่องเต้ไม่ฟังเสียงประชาชนคนจึงลุกขึ้นแล้วก่อการ  สามก๊กก็ใช่  ราชวงศ์ฉินก็เป็น  ราชวงศ์หมิงอีกล่ะ  เกือบทั้งนั้นมาจากเหตุผลเริ่มต้นอันเดียวกัน  

ความอดอยาก  เป็นสิ่งที่โหดร้ายไม่ว่าจะเกิดในแง่มุมไหนของโลก  ภาพที่ชินตาของข้าพเจ้าก็คงเป็นภาพเด็กที่เอธิโอเปียที่กำลังหิวโหยเนื้อตัวแห้งจนติดกระดูก  แม่นมเหี่ยวแห้งเป็นถุงกาแฟไม่มีน้ำนมสักหยดที่หยาดลงมาแตะแต้มให้ชีวิตลูก   มันเป็นภาพที่โหดร้ายจริง ๆ สำหรับเมืองไทยก็มีนะครับถ้าจำกันได้  ในตอนที่ข้าพเจ้ายังเด็กเล็กหรือเมื่อเกือบสามสิบปีที่แล้ว  เมืองไทยมีเด็กกินดิน  อดอยากจนต้องกินดิน  ไม่แน่ใจว่า กาฬสินธ์ หรือ ศรีษะเกษ  ใครรู้ช่วยให้ความกระจ่าง  ดังนั้นสิ่งเดียวที่จะเยียวยาได้คือการช่วยเหลือ  แก้ไข  และเยียวยาสถานการณ์ต่อไป  ข้าพเจ้าไม่อยากได้ยินคำว่า  "แด่เด็กน้อยผู้หิวโหย"  อีก  ไม่ว่าจะที่ประเทศไทยหรือมุมไหนของโลก

คนเราจริง ๆ แล้วส่วนใหญ่มีธรรมชาติรักสงบ  ถ้ามีอาหารพอเพียงมีปัจจัยสี่ครบครันน้อยคนนักที่ร่านทุรน   อย่างเช่นตำนานของคนไทยเองตำนานการสร้างบ้านแปลงเมืองส่วนใหญ่ถ้าไม่หนีโรคระบาดก็หนีความหิวโหยแล้วอพยพ  ดังนั้นความอดอยากข้าวยากหมากแพงจึงเป็นสิ่งที่สำคัญไม่ว่าจะยุคไหนเมืองไหน   ในยุคก่อนความอดอยากมาในรูปแบบที่ค่อนข้างตายตัว  น้ำท่วม  ตั๊กแตนลง  อากาศไม่เป็นใจ  หรือถูกรีดนาทาเร้น  มันมีรูปแบบสำเร็จรูปของมันแล้วแต่จะเกิดขึ้นที่ไหน  แม้จะมากับ สงคราม โรคระบาด  ก็เป็นรูปแบบที่ตายตัว  ทุกวันนี้ความอดอยากก็มาในรูปแบบที่ตายตัวเช่นกัน   ไม่ต่างจากอดีตมากมาย  แต่มันเพิ่มเติมอีกรูปแบบคือ  ข้าวยากหมากแพงเพราะรัฐบาลแก้ปัญหาไม่เป็นหรือไม่ก็เพราะมีคนอุบาทว์กำลังหากินกับความทุกข์ของคนที่ต้องประสพปัญหาข้าวยากหมากแพง  กักตุนสินค้า  กักตุนปาล์ม

ยุคนี้เราไม่พูดถึงเรื่องเหล่านี้ว่า  ปัญหาความอดอยาก  แต่จะเรียกให้เพราะขึ้นว่า  ปัญหาปากท้อง  ซึ่งทำให้มันฟังดูนุ่มนวลและดีขึ้น  

แต่ผลร้ายของปัญหาเหล่านี้ก็รุนแรงไม่แพ้อดีตกาล  อดีตกาลคนอดอยากรวมตัวกันตั้งกองทัพต่อต้านราชสำนัก  เป็นกบฏ  บ้างก็ทำสำเร็จบ้างก็ไม่สำเร็จแล้วแต่ความรุนแรงของปัญหาและเงื่อนไขของการกบฏ   แต่ยุคนี้ปัญหาปากท้องเป็นปัญหาสำคัญที่จะล้มรัฐบาลหรือตั้งรัฐบาลได้เลย   อย่างที่ผ่านมาก็ชี้วัดให้เห็นพรรคประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยแพ้อย่างหลุดลุ่ยเพราะปัจจัยข้าวยากหมากแพงปัญหาปากท้องเรื้อรัง   ดังนั้นประชาชนจึงคาดหมายว่ารัฐบาลและการเลือกตั้งเป็นทางออกและคำตอบที่มาในวันนี้คือ  พรรคเพื่อไทย

แต่พรรคเพื่อไทยก็ต้องเจอปัญหาใหญ่เพราะภัยที่มาจากปากและนโยบายที่เต็มไปด้วยปัญหา  อย่างเช่น  ค่าแรงขั้นต่ำสามร้อยบาทและอัตราเงินเดือนปริญญาตรี  มันเป็นนโยบายที่มีช่องโหว่แต่ก็แก้ไขได้ถ้าใจเด็ดและก็ต้องยอมรับกันตรง ๆ ว่า  ไม่มีนโยบายของรัฐบาลใดที่ทำได้อย่างหมดจดและทำได้ตามที่หาเสียงไว้ทุกข้อ   แต่ก็ไม่ควรให้ผิดพลาดอย่างน่าเกลียดหรือน้อย ๆ ก็ต้องแสดงให้เห็นถึงความพยายามก็แล้วกัน  แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับฟังในวันนี้ซึ่งเป็นวันแถลงนโยบายของรัฐบาล   ข้าพเจ้าเห็นฝ่ายแค้นขึ้นมาอภิปรายและทำให้ข้าพเจ้าต้องถอนใจอย่างหนักเพราะฝ่ายแค้นโจมตีจนเกินงามและพยายามชี้ให้เห็นว่า  เพื่อไทย  จะทำไม่ได้อย่างที่พูด  ซึ่งรัฐบาลก็ไม่ควรถือสา   เพราะถ้าเขามีดีมีน้ำยาก็คงไม่มาเป็นฝ่ายค้านเสียงข้างน้อยแบบนี้   แต่ประเด็นที่น่าสนใจที่สุดที่ฝ่ายค้านเอามาอภิปรายโจมตีที่ข้าพเจ้าอยากนำเสนอคือ

การอภิปรายแย้งของพรรคภูมิใจไทยโดย นาย สนอง เทพอักษรณรงค์  คนผู้นี้เป็นใครมาจากไหนข้าพเจ้าไม่อยากรู้จักแต่สิ่งที่เขาพูดทำให้ข้าพเจ้ารู้ถึงปัญญาของนกกระจาบที่หาญกล้าจะตีฝีปากกับพญาอินทรีโดยไม่รู้ถึงกำลังของตัวเองว่ามีปัญญาและกำลังมากน้อยแค่ไหน  แต่ก็ยังกล้าตีสำนวน  นายสนองหยิบกระดาษมาหนึ่งแผ่นแล้วพูดว่า 

"รัฐบาลนี้ไม่ควรวางนโยบายเรื่องปกป้องสถาบันไว้ในนโยบายสี่ปี  แต่ควรจัดเป็นนโยบายเร่งด่วน  ผมไม่เห็นว่านโยบายปากท้องยาเสพติดจะสำคัญไปกว่านโยบายปกป้องสถาบัน  ซึ่งต้องทำอย่างเร่งด่วนและทำอย่างเร่งด่วนเหนืออื่นใด"

ฟังแล้วรู้สึกอะไรกันไหมครับ...  ข้าพเจ้าอาจจะคิดรุนแรงเกินไปแต่อ่านข้อความที่นายสนองพูดทีไรแล้วเจ็บปวดที่นักการเมืองไทยยังคิดแบบนี้  วันนี้ปัญหาปากท้องยังไม่รู้เลยว่าจะแก้ได้ไหม  ยาเสพติดก็รุกลามจนไม่รู้ว่าต้องตายกันอีกกี่ศพกว่าปัญหาเหล่านั้นจะเบาบาง  และมันเป็นปัญหาที่รัฐบาลนี้ต้องเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวที่รัฐบาลเก่าทำไว้เสียด้วย   เพราะประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยคือต้นเหตุแห่งการขึ้นราคาสินค้าจนประชาชนแทบไม่มีเงินจะจับจ่ายและเปนรัฐบาลที่ย่อหย่อนในการปราบปรามยาเสพติด   ดังนั้นรัฐบาลนี้ต้องทุ่มกำลังสุดตัวเพื่อมาแก้ปัญหาที่สำคัญของชาติ  เพราะสองปัญหานี้คือความทุกข์สุขของประชาชนทั้งประเทศ   ถ้าทำสำเร็จประชาชนก็จะมีความสุข  แต่ถ้าทำช้าหรือไม่สำเร็จประชาชนก็จะเดือดร้อนชนิดทุกหย่อมหญ้าเลยทีเดียว   แต่วันนี้สิ่งที่  นายสนอง พูดนั้นมันตอกย้ำให้เห็นว่านักการเมืองที่ควรจะเห็นแก่ความสุขของประชาชนทั้งประเทศกลับหลงลืมหน้าที่ของตนเอง

ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นนโยบายปกป้องสถาบันไม่สำคัญ   ก็สำคัญสำหรับ "ประเทศไทย"  แต่ต้องเป็นไปแบบเหมาะสมไม่ใช่เอาปัญหาอย่างอื่นกองทิ้งไว้แล้วเอาปัญหาอื่นซุกไว้ใต้พรม  เพราะความหมายที่ นายสนอง พูดนั้นตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกว่าจะตีความว่า  ปัญหาอื่นนั้นเก็บไว้ก่อนแล้วแก้เรื่องนี้ให้เสร็จลุล่วงก่อนทำอย่างอื่น

นายสนองครับ  ทุกวันนี้ชาวบ้านยังอดอยากไม่พอเหรอครับ   ประชาชนทุกคนไม่ได้รับรายได้เทียบเท่า ส.ส. อย่างท่านทุกคนนะครับ   และประเทศไทยนั้นเราก็รู้กันอยู่ว่าประเทศไทยเป็นของประชาชนและประชาชนก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของประเทศนี้  ประเทศจะเป็นประเทศได้อย่างไรถ้าไร้ประชาชน   ข้าพเจ้าขอแนะนำให้ท่านไปนอนดูซูสีไทเฮาเวอร์ชั่นญี่ปุ่นก่อนนะครับ  ก่อนจะมาพูดเรื่องราวอะไรแบบนี้ในสภาที่ทรงเกียรติ   และท่านดูจบก็ควรสำนึกไว้เสนอว่าทุกวันนี้ที่ท่านมีเสื้อใส่มีข้าวกินมีอำนาจกร่างได้ทั้งแผ่นดินทุกวันนี้   เพราะประชาชน  ไม่ใช่เพราะคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดนะท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติและจงสำเหนียกไว้เสมอด้วยนะครับว่า  ประชาชนทุกวันนี้เดือดร้อนหนักเพราะรัฐบาลเก่าได้ขี้ทิ้งไว้ได้ทำให้แผ่นดินฟอนเฟะไว้   ดังนั้นท่านไม่ควรหน้าด้านพูดว่าควรทำอะไรก่อนหรือหลัง   แต่ถ้าท่านจะมีสามัญสำนึกอยู่บ้างก็จงจำใส่กบาลไว้ว่า   "ต้องทำเพื่อประชาชนก่อนอื่นใด  ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข  หมดปัญหาเรื่องปากท้อง"

จากนั้นท่านจะไปทำเรื่องห่าอะไรต่อจากนี้ก็ไสหัวไปทำเถอะครับ  แล้วอีกอย่างจะพูดอะไรคิดถึงประชาชนก่อนอื่นได้ไหมอย่าเอาแบบลูกพี่ยี่ห้อยร้อยยี่สิบของคุณ  ที่คิดอะไรไม่ออกก็บีบน้ำตา  กอดเพื่ออำนาจและเอาหลังพิงวัง  มันน่าสมเพช !!!

เข้าใจไหมครับ...  ถ้าไม่เข้าใจก็ไปตายให้หนอนแดกเถอะ  ไอ้ควายเอ๊ย...

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

จดหมายจากคลองกระจง ถึง กนก รัตน์วงศ์ "สถุล"



จดหมายจากคลองกระจงในค่ำคืนวันที่ยี่สิบเอ็ดสิงหานี้เป็นคิวของ  นาย กนก รัตน์วงศ์สกุล  อีกหนึ่งคนที่ข้าพเจ้าจารึกชื่อของเขาในฐานะโมฆะบุรุษและไม่อยากแตะต้องอะไรอีก   เพราะคนพวกนี้เป็นคนที่เรียกว่า  "บัวใต้น้ำหินทับไว้"   พระพุทธองค์เวลาโปรดเวไนยสัตว์ท่านก็ยังหลีกเลี่ยงคนประเภทนี้เพราะท่านเห็นแล้วว่าพูดไปเทศน์ไปก็ไม่มีประโยชน์แล้วประสาอะไรกับคนธรรมดาผู้เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างเรา   บัวใต้น้ำก็แย่ที่สุดแล้วนี่หินยังทับไว้อีก  และจากการได้อ่านข้อความที่คุณ หน่วยงานลับแดงใต้ดิน  ได้พูดจากับ นายกนก  ข้าพเจ้าก็เชื่อเลยว่า  นาย กนก นั้นมิใช่เพียงแค่บัวใต้น้ำหินทับไว้  แต่เขาเป็น บัวใต้น้ำหินทับไว้แต่ก็ยังถูกซีเมนต์โบกทับไว้อีกสามถึงเจ็ดนิ้ว  เราไม่ต้องพูดถึงวีรกรรมของนายกนกกันให้มากความไม่ต้องท้าวความเอาสิ่งที่เคยเกิดมาพูดให้เสียเวลา   เรารู้กันดีว่าตลอดมาเขาคนนี้นั้นเป็นเช่นไร

วันนี้ข้าพเจ้าเพียงแต่จะมาพูดเรื่องใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ และข้าพเจ้าคิดว่ามันก็ยังจะคงเกิดขึ้นต่อไปไม่จบสิ้นหรอกครับ  การแสดงความโง่นั้นเป็นความสามารถของกนกที่คนธรรมดาอย่างเราไม่อาจคาดการณ์ได้เลย...   ล่าสุดมีสองเรื่อง  เรื่องแรกเป็นเรื่องที่นายกนกเขียนโน๊ตถึงนักข่าวคนหนึ่งซึ่งถามคำถามนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย  เขาได้ถ่ายทอดคำพูดคำสัมภาษณ์มาซึ่งข้าพเจ้าก็ตอบได้เลยครับว่า  นายกปูก็ตอบได้ไม่ค่อยดีหรืออาจจะไม่มีเวลามาตอบโต้หรือเสียเวลาด้วย   เพราะบางอย่างมันก็ไม่ใช่เรื่องต้องมานั่งให้นักข่าวฟัง   แต่นายกนกกลับยกเอาคำพูดนั้นมาและทำให้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต  ก่อนจะแขวะกัดหนังสือพิมพ์มติชนไปอีกหนึ่งดอกใหญ่ใจความว่า...

"ไม่เหมือน ไอ้นักหนังสือพิมพ์หัวหงอก  ที่ทรยศวิชาชีพ  อุตส่าห์ก่อตั้งหนังสือพิมพ์คุณภาพมา 30 กว่าปี  ต้องมาเสียผู้เสียคน  เดี๋ยวนี้เห็นหนังสือพิมพ์หัวนี้วางอยู่  จะถ่มถุย..ยังเสียดายน้ำลาย"

ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งที่นายกนกพูดไม่ใช่เรื่องผิดครับเพราะมันคือความเห็นของเขา   แต่อยากเรียนว่าไหน ๆ จะคิดด่าแล้วอ้อม ๆ ทำไมครับ  เอามันตรง ๆ เลยสิหรือว่ากลัวหรือว่าดีแต่หลบอยู่ใต้ชายกระโปรงผู้หญิง   สิ่งที่คุณพูดมันก็ไม่ต่างจากสิ่งที่ผู้คนส่วนหนึ่งเขามองคุณลองครับคุณกนก  คนที่มองเห็นคุณบางคนเขาก็คิดเสียว่า  "คุณเป็นนักข่าวมานานได้อย่างไร  เสียผู้เสียคน  เดี๊ยวนี้เห็นนักข่าวคนนี้เดินไปไหนมาไหนอยากเอาน้ำล้างเสนียดแล้วอยากถุยน้ำลายรดหัวสักทีสองที"   ข้าพเจ้าคงไม่คิดว่าเป็นการเปลืองน้ำลายหรอกถ้าจะถ่มถุยรดหัวคุณเพราะการเอาของเสียออกจากร่างกายเป็นปกติของมนุษย์  ร่างกายมันออกแบบมาแบบนั้น  ก็คงไม่แปลกที่นายกนกจะเป็นดั่งมนุษย์เชื้อโรคในสายตาของพวกข้าพเจ้าและก็หรือถึงสาเหตุสำคัญแล้ว  เพราะคุณมีแต่จะเก็บของเสียไว้ในร่างกายเชื้อโรคจึงเข้าไปกัดกินสมองจนทำให้สายตามองไม่เห็นโลกอะไรที่นอกกะลาของเครือเนชั่นส์เลย

ข้าพเจ้าไม่อยากจะแจงสาเหตุเป็นข้อ ๆ นะครับว่า  ทำไมเนชั่นส์ถึงเกลียดทักษิณและคนเสื้อแดงเข้าไส้  ไม่อยากแจง ๆ จริง ๆ เพราะสาเหตุข้อหนึ่งที่ทำให้เนชั่นส์เกลียดทักษิณมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่า   เพราะทักษิณทำอะไรบางอย่างให้คุณเสียผลประโยชน์หรือเปล่าพวกคุณถึงได้เกิดอคติกัน   ข้าพเจ้าไม่อยากพูดให้มากความให้เสียน้ำลายที่จะเอาไว้ถ่มรดหัวคุณนะครับคุณกนก  

สิ่งที่คุณกนกชมว่านักข่าวคนที่ถามนายกรัฐมนตรีหญิงนั้นที่ว่าถามดีนักดีหนานั้นมีอะไรเรามาฟังกันดู  

"การแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้  คิดจะทำอะไรเพื่อประเทศชาติและประชาชนบ้างหรือไม่?"  เรื่องนี้กนกเอาเขียนลงในหัวข้อของเขานะครับแต่ข้าพเจ้าตอบแทนได้เลยว่า  เรื่องนี้ถามนายกรัฐมนตรีไม่ถูกเสียทีเดียวครับ  เพราะถ้าจะถามว่าทำอะไรเพื่อประเทศชาติและประชาชน  เขาต้องมาถามประชาชน  ถามนายกรัฐมนตรีจะได้คำตอบได้อย่างไร   ไม่ทราบว่าคนถามกินยาลืมเขย่าขวดเลยเขียนจดหมายผิดซอง   ถ้าท่านจะถามว่าเพื่อประชาชนต้องถามประชาชนก่อน  ว่า  ประชาชนต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญไหม  และถ้านักข่าวกับคุณกนกรฤกชาติได้ก็คงจำได้ว่าตอนที่รัฐบาลสุรยุทธ์ฉีกรัฐธรรมนูญเก่าแล้วเขียนใหม่   มีคนตั้งท่าจะไม่รับร่าง  ทั้งภาครัฐบาลและสื่อมวลชนก็ออกมาเป็นกระบอกเสียงให้คณะปฏิวัติว่า   "ให้รับไปก่อนแล้วแก้ทีหลังได้"   ก็นี่เรารับไปก่อนแล้วตอนนี้จะมาแก้   มันผิดอะไรเหรอครับ  เราทำตามกติกาแล้ว   และข้าพเจ้าอยากถามนักข่าวคนนั้นและคุณกนกว่า  "ตอนที่เขาฉีกรัฐธรรมนูญและร่างใหม่  คุณเคยถามหรือไม่ว่ามันเป็นความคิดอะไรที่จำเพื่อประเทศชาติและประชาชนหรือเปล่า"   มันตรรกะเดียวกันนะครับ

คุณกนกอย่าสะเออะคิดแทนประชาชนว่า  ประชาชนไม่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ   อย่าสะเออะครับ  เพราะถ้าหยั่งคะแนนเสียงกันจริง ๆ ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ต้องการให้แก้หรอกครับ  แต่เขาต้องการให้ทิ้งของโจรแล้วเอา  รัฐธรรมนูญปีสี่ศูนย์มาใช้เสียด้วยซ้ำไป   ดังนั้นสิ่งที่คุณชื่นชมนักข่าวช่องเจ็ดคนนั้นข้าพเจ้าอยากเรียนว่า  ถ้าพวกท่านเต็มใจรับของโจรก็เอาเถอะครับ  เพราะพวกท่านเป็นโจรเหมือนกับพวกรัฐประหารจึงหวงแหนรัฐธรรมนูญโจร   แต่สำหรับพวกข้าพเจ้าชาวบ้านที่เคารพกฏหมาย   ไม่เอาของโจรเด็ดขาด

"โฉมหน้าคณะรัฐมนตรี  ขี้เหร่กว่าท่านนายกรัฐมนตรีนะคะ?"

"ทำไมถึงแต่งตั้งคนที่มาจากสายการเงิน การลงทุน มาเป็นรัฐมนตรีคลังคะ?"

"จะประสานนโยบายการเงินกับการคลังอย่างไรให้ลงตัว?"

"แม่ปู" ตอบว่า "รอให้มีการแต่งตั้งทีมที่ปรึกษาก่อนนะคะ  นโยบายทุกด้านจะชัดเจน"

น้องคนนี้ถาม  "ทำไมต้องรอมีที่ปรึกษาล่ะคะ  ถ้าไม่มีที่ปรึกษาทุกอย่างจะไม่ชัดเจนหรือคะ?"

และด้านบนนั้นเป็นชุดคำถามที่คุณกนกชื่นชมเหลือเกินว่านักข่าวคนนั้นเก่งที่ทำเอาคุณปูเดินหนีได้   แต่ข้าพเจ้าอยากเรียนตรง ๆ จากสำนึกของข้าพเจ้าว่า  เป็นคำถามที่ไร้มารยาทและดูเหมือนว่าคนที่ถามคำถามแบบนั้นไร้การสั่งสอนจากทางบ้านมา   โฉมหน้าคณะรัฐมนตรีขี้เหร่กว่าท่านนายกรัฐมนตรีนะคะ  คือ  คุณนักข่าวเอาคำว่าอะไรมาวัดว่าขี้เหร่   แม้ข้าพเจ้าเองจะเห็นว่ารัฐมนตรีคณะนี้ไม่เพียงแต่ขี้เหร่แต่มันถึงขั้นดูไม่ได้ด้วยซ้ำยังรู้สึกไม่พอใจคำถามของเธอเลย   เพราะวันนี้เขายังไม่ได้ทำงานก็ต้องให้โอกาสกันทำงานแล้วรูปโยคนั้นไม่ได้เป็นคำถามนะครับ  มันเป็นประโยคบอกเล่า  ถ้าคุณจะพูดเองของคุณก็กลับบ้านไปแล้วซักถามตัวเองกับกระจก  ไม่เห็นต้องเดินดมตูดยิ่งลักษณ์เลยนี่นา    ส่วนสามคำถามต่อท้าย  ข้าพเจ้าก็อยากเรียนว่า  ไม่ว่าจะทำอะไรมันก็ต้องมีที่ปรึกษานะครับ   แม้กระทั่งเจ้าของแผ่นดินยังต้องมีองคมนตรีเป็นที่ปรึกษาแล้วทำไมนายกรัฐมนตรีถึงจะมีที่ปรึกษาไม่ได้

เคยได้ยินเรื่อง  เล่าปี่แสวงปราชญ์ไหม  เคยได้ยินเรื่อง โจโฉแสวงปราชญ์ไหม  เคยได้ยินเรื่องเล่าปังออกแสวงปราชญ์ไหม   ไม่มีผู้นำในอดีตคนใดไม่แสวงปราชญ์มาตัดสินการณ์   ภาวะผู้นำนั่นคือเรื่องหนึ่ง  การเป็นผู้นำนั้นเป็นอีกเรื่อง   แต่การปรึกษาที่ปรึกษาที่เก่ง ๆ ก่อนจะทำอะไรลงไปมันเป็นเรื่องที่จำเป็นของคนที่เป็นผู้นำ   ถ้าเขาเป็นเพียงแค่นักข่าวอย่างคุณ  ที่ใช้อารมณ์ความรู้สึกในการทำงานอย่างเดียว  นั่นสิครับถึงต้องไม่ปรึกษาที่ปรึกษา   เพราะงานแบบคุณคนที่ไร้มารยาทก็ทำได้เอากุลีแบกข้าวสารพูดเลว ๆ หน่อยก็มาเป็นนักข่าวที่ถามคำถามแบบไร้สมองได้แล้ว   ไม่เห็นต้องชมเชยอะไรเลย 

แต่ก็ไม่แปลกครับที่คุณกนกชม  เพราะคนไร้มารยาทสมองสุนัขปัญญากระบือก็คงจะชื่นชมคนที่มาจากเผ่าพันธ์และสปีชี่เดียวกัน

ดังนั้นเข้าใจแล้วใช่ไหมครับคุณกนกว่า  คุณเหยียดมติชนได้   คนอื่นเขาก็เหยียดคุณต่ำกว่าที่คุณเหยียดมติชน  กรุณาฟังอีกครั้ง !!!

"คุณเป็นนักข่าวมานานได้อย่างไร  เสียผู้เสียคน  เดี๊ยวนี้เห็นนักข่าวคนนี้เดินไปไหนมาไหนอยากเอาน้ำล้างเสนียดแล้วอยากถุยน้ำลายรดหัวสักทีสองที"  นั่นคือข้อความที่คนฝ่ายข้าพเจ้ามีให้ท่านและแน่นอนว่า  ที่ข้าพเจ้าพูดเนี่ยมันเบาไปเสียด้วยซ้ำ

ต่อมาก็เป็นเรื่องขำขันที่มาติดกันเพราะรอบนี้เป็นข้อความตอบโต้ของคุณกนกกับ  หน่วยงานลับแดงใต้ดิน   ข้าพเจ้าไม่ได้ขออนุญาตท่านดังนั้นข้าพเจ้าขออนุญาตท่าน ณ ที่นี้และต้องขออภัยที่เอ่ยนาม  เพื่อเป็นการอ้างอิงที่มาที่ไป  หวังว่าไม่โกรธกัน  หน่วยงานลับแดงใต้ดินได้โต้ตอบกับกนกเป็นข้อ ๆ ซึ่งข้าพเจ้าขอยกขึ้นมาเอาแต่พอสังเขปละกันนะครับ  คุณกนกได้ถามคุณหน่วยงานลับแดงใต้ดินเป็นข้อ ๆ มีข้อหนึ่งว่า 

แต่ก่อนจะถาม  คุณกนก  ได้เขียนว่า  "คิดตามที่ผมถามนะ"

1.ถ้ารัฐบาลจะสั่งยิงประชาชน โดยเฉพาะในวัดปทุม ทำไมต้องรอถึงวันสุดท้าย วันที่ทหารสลายการชุมนุม

ข้าพเจ้าทนเห็นความโง่ของมันไม่ไหวขอตอบกนกเลยว่า   "ควายไหมครับคุณกนก  แน่ใจว่าถามแบบใช้หัวคิดแล้ว   รัฐบาลไม่ได้รอให้ถึงวันสุดท้ายครับรัฐบาลยิงตั้งแต่วันแรก  มันยิงกันมาตั้งแต่สงกรานต์แต่มันยังไม่เป็นมหกรรมใหญ่โตเท่านั้นเอง   เพราะถ้าไม่ยิงจริงจะมีคนตายมาจากไหนตั้งแต่ช่วงสงกรานต์ครับคุณกนก   ไอ้วันแรก ๆ นั้นรัฐบาลยิงเก็บคะแนนครับ  แต่วันสุดท้ายเขาเรียกว่าเคลียร์ด่าน   อย่าโชว์โง่ในที่สาธารณะครับ"

2.ทหารโง่ขนาดแต่งชุดทหารขึ้นไปส่องยิงชาวบ้านซื่อๆบนสถานีรถไฟฟ้าให้คนอื่นถ่ายคลิปได้ แล้วเอาไปให้ข่าวสดลงเหรอ?

คุณกนกครับ  มีสมองไว้ทำอะไรครับเนี่ย  ข้าพเจ้าจะบอกไว้อย่างว่าสมองมีต้องใช้นะครับถ้าไม่ใช้มันจะฝ่อ  ของคุณเนี่ยฝ่อไปแปดสิบเปอร์เซนต์แล้ว  กลับตัวกลับใจยังทัน  ถ้าไม่ให้ทหารใส่ชุดทหารแล้วจะให้มันใส่ชุดอะไรล่ะครับ   เพราะเขาออกมาปฏิบัติการณ์และที่สำคัญทหารมันโง่ไม่รู้ว่าถูกถ่ายนะครับ   ถ้าทหารไม่โง่มันคงไม่ยิงประชาชนตั้งแต่ช่วงสงกรานต์แล้ว   ถ้าทหารไม่โง่มันคงไม่ปฏิวัติแล้ว   คุณกำลังให้ราคาสมองของทหารมากไปไหม   ถ้าทหารไม่โง่ทำไมเชิดชูซีทีเอ็กซ์จัง   ถ้าทหารไม่โง่เขาคงไม่ยอมฟังคำสั่งของรัฐบาลโง่ ๆ หรอกครับ  

3.ถ้ารัฐบาลจะสั่งทหารเก็บจริง เป็นคุณจะเก็บชาวบ้านซื่อๆ หรือจะเก็บพวกแกนนำ นปช.? แล้วเก็บตั้งแต่แรกจะดีกว่ามั๊ย? จะรอให้สี่แยกโดนยึดเป็นเดือนๆทำไม?

คุณกนกครับ  คุณนี่มันโง่ซ้ำซากนะครับ  ไอ้ที่สี่แยกโดนยึดเป็นเดือน ๆ นั้นเพราะว่ารัฐบาลไม่รู้ว่าเขาจะยึดไงครับ  คุณโง่จริงหรือแกล้งโง่หรือว่าเชื้อโง่ตกทอดมาจากพันธุกรรม   แล้วถ้าเขาเก็บ แกนนำได้เขาก็เก็บไปแล้วครับ  แต่ทหารมันไม่มีปัญญาและไม่มีความกล้าหาญพอ   และคุณกนกคุณนี่มันป่าเถื่อนหรือซาดิสม์ครับ  คุณเอะอะแก้ปัญหาด้วยการยิงทิ้งอย่างเดียวเลยเหรอ  ถ้าคิดในแบบเดียวกัน  คุณว่าพันธมิตรทำไมมันยึดสนามบินได้ครับ   อย่าลืมนะครับว่าตอนที่พันธมิตรยึดสนามบินข้าพเจ้าก็เป็นสมาชิกเวบโอเคเนชั่น  คุณก็ออกมาดีอกดีใจ   ทำไมรัฐบาลสมชายปล่อยให้พันธมิตรยึดสนามบินโดยไม่ยิงหัวแกนนำ   ไม่มีใครตอบได้ครับเพราะไม่มีใครถาม   คนที่คิดถามคำถามทำนองนี้   ต้องละทิ้งความเป็นคนไปนานแล้ว  จริงไหมครับคุณกนก

จริง ๆ ที่คุณถามมาห้าข้อข้าพเจ้าก็ถือวิสาสะตอบได้หมดแหล่ะครับ  แต่ข้าพเจ้าเสียเวลาที่จะตอบ  เพราะข้าพเจ้าก็ไม่รู้จะเสียเวลากับบัวใต้น้ำหินทับไว้ซีเมนต์โบกซ้ำทำไม  อีกอย่างที่เขียนมาเนี่ยเพื่อระบายบางสิ่งอย่างที่มติชนออนไลน์ทำผิดพลาด   เพราะคำเอาคำพูดของคุณมาเคียงกันอยู่ในหน้าเดียวกับวาทะของพี่ป้อม นิธินันท์  พี่สาวที่น่ารักของข้าพเจ้า

คำพูดขยะที่หมาไม่ยอมลดตัวกินของคุณ  มันเทียบชั้นคำพูดของคนมีการศึกษาไม่ได้หรอกครับกนก   คุณน่ะได้รับเกียรติสูงส่งนะที่คนปัญญาต่ำของคุณได้อยู่ร่วมหน้าเพจเดียวกับปัญญาชนอย่างตีเสมอ   แต่คนอ่านจะรู้ครับว่า  คนอย่างคุณมันไม่มีราคาแม้จะเป็นพื้นรองเท้าให้ปัญญาชนควบเสรีชนอย่างพี่ป้อมเลย

เกิดชาติหน้าฉันใดทำบุญมาดี ๆ หน่อยนะกนก  อย่าให้เกิดมาสมองสุนัขปัญญากระบือแบบในชาตินี้  คุณทำบุญมาดีตรงลิ้นแล้ว  เลียเก่งจนได้ดี  สรยุทธเก็บมาเลี้ยงมาปัดฝุ่นขี้เถ้าจนได้ดี   จนมีโอกาสที่ดี   อย่าทำตัวถ่อย ๆ อีกเลยครับ  ถ้าไม่สงสารประชาชนที่โง่เชื่อคำพูดของคุณก็สงสารตัวคุณเองที่พูดอะไรโง่ ๆ ออกมาจนคนเขาจะเห็นว่าคุณโง่เป็นปกติสันดาน

สวัสดี











จดหมายจากคลองกระจง ถึง ขุนรองปลัดชู


ก่อนเขียนจดหมายฉบับนี้ข้าพเจ้ามิได้จุดธูปบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธ์แม้แต่ถวายเครื่องเซ่นสรวงขุนรองปลัดชูก็ไม่มี   เพราะข้าพเจ้าไม่มีเวลามากมายจะทำอะไรแบบนั้น   แต่ข้าพเจ้าอยากเรียนว่าหลังจากได้ดูรายการทีวีและไปอ่านความเห็นตามที่ต่าง ๆ ข้าพเจ้าก็พูดอย่างไม่ดัดจริตเลยว่า  หลาย ๆ ความเห็นที่มีต่อขุนรองปลัดชูทำเอาข้าพเจ้าน้ำตาซึม  แม้มันจะไม่ไหลออกมาแต่ก็หยาดคลออยู่เต็มหน่วย   และคิดว่าข้าพเจ้ามีเหตุมากพอที่ต้องเขียนจดหมายถึงยอดวีรชนคนหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์ไทย   ข้อความในหน้าหนังสือมีเขียนถึงท่านไม่กี่บรรทัดเรียกได้ว่าแทบไม่มีใครให้ความสำคัญอะไรกับท่านเท่าไหร่นักไม่ว่าจะในยุคไหน   มีเพียงพุทธศักราชนี้เท่านั้นที่ให้ความสำคัญกับท่าน   แต่ก็เป็นไปในบทบาทที่มีนัยยะและก็มีหลายคนที่ไม่ค่อยจะพอใจกับการฟื้นคืนชีพของท่านขุนรองนัก

ข้าพเจ้ามิพักต้องเอ่ยเพื่อหาเหตุผล   เพราะข้าพเจ้าไม่ได้เขียนถึงทีมงานที่ทำชีวิตให้ท่านขุนรองโลดแล่นบนแผ่นฟิล์ม  แต่ข้าพเจ้าอยากพูดถึงขุนรองและกองอาทมาตที่ข้าพเจ้าเลื่อมใสมาเป็นเวลานาน   ข้าพเจ้าไม่รู้จักใครในกองอาทมาตเป็นการส่วนตัวเพราะหนังสือประวัติศาสตร์ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรนัก  ในแบบเรียนก็มีแต่พระยาพิชัยดาบหัก  พระนเรศวร  ชาวบ้านบางระจัน  แต่พวกเขาทำตกลงท่านขุนรองและกองอาทมาตอาสามาตลอด   ซึ่งข้าพเจ้าก็แปลกใจมาเป็นเวลานานว่า  เหตุใดถึงไม่เคยมีการให้ความสำคัญกับกองอาทมาตวิเศษไชยชาญเลย   ทั้ง ๆ ที่วีรกรรมของพวกกองอาทมาตนั้นยิ่งใหญ่ว่า  วีรกรรมดาบหักของพระยาพิชัย  เหนือกว่าปืนข้ามแม่สะโตงเรื่องเล่าแหกตาของพระนเรศวร  และเหนือกว่าวีรกรรมของวีรสตรีที่ (คาดว่า) ถูกฟันขาดสะพายแล่งกลางคอช้าง  

กองอาทมาตอาสากองนี้ถ้าจำไม่ผิดจะมีแค่สี่ร้อยคน   เป็นชาวบ้านที่มีฝีมือดาบและติดตามขุนรองปลัดมารับทัพพม่าด้วยการนำของท่านขุนรองปลัด  ซึ่งจะเป็นทัพหน้าเข้ายันกับพม่าที่จะมาตรงท่าข้าม ด่านสิงขร  และจะบีบรบพม่าตรงอ่าวนี้ด้วยเนื่องจากเป็นยุทธภูมิที่เหมาะสมถ้ากองอาทมาตยันทัพแล้วทัพหลวงของพระยารัตนาธิเบศร์ยกมาเสริมก็จะหักเอาชัยทัพพม่าตรงนี้ได้   กองอาทมาตรบตั้งแต่เที่ยงวันถึงเที่ยงวัน   เพียงกองกำลังที่มีแค่สี่ร้อยได้ยันกับพม่าที่มีเป็นหลายหมื่นได้นานถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงหรืออาจเกินกว่านั้น   โค้งน้ำจรดฟ้าเจือไปด้วยเลือดของกองอาทมาต  ศพผู้กล้านอนกระจัดกระจายบนเรียวหาดและก็มีบ้างที่ตายในน้ำ  

ในตำนานเล่าว่า  กองอาทมาตวิเศษไชยชาญนั้นเก่งกล้าสามารถยิ่งนักถ้าจะเทียบเคียงแล้วก็ไม่ย่อหย่อนกว่าวีรกรรมจูล่งรับอาเต๊าเลย   หนึ่งต้องสู้สิบสู้ร้อย  แต่สิ่งที่แทรกเข้ามาในตำนานคือ  กองอาทมาตพวกนี้หนังเหนียวยิ่งนักประดุจกองทัพปีศาจที่มาจากนรกโลกันต์  พวกเขาสามารถทนทานกับความเจ็บปวดเนื้อหนังไม่ระคายเคืองด้วยแรงดาบ   อยู่ยงคงกระพันเดินหน้ารบอย่างบ้าคลั่งจนกองทัพพม่าล้มลงคนแล้วคนเล่า   วิธีฆ่ากองอาทมาตนั้นต้องใช้เคล็ดลับ  เมื่อมีดพร้าไม่ระคายผิวพวกเขาก็ต้องเอาจับผู้กล้ากองอาทมาตไว้แล้วทุบด้วยค้อนใส่อวัยวะส่วนต่าง ๆ หรือไม่ก็จับมัดร่างแล้วใช้ม้าแยก   และอีกวิธีคือรุมกันจับแล้วเอาหัวกดน้ำ   ท่านลองหลับตานึกภาพสิครับว่า  การตายของทหารกองอาทมาตแต่ละคนน่ากลัวแค่ไหน  น่าสยดสยองเพียงไร

ข้าพเจ้าเชื่อเรื่องนี้แค่ไหน  ก็คงต้องบอกว่าไม่รู้  ไม่ใช่ว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ  แต่ไม่รู้  ไม่ได้เห็นด้วยตา   แต่การรบตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงวันแม้จะหนังเหนียวแค่ไหนก็ต้องขาดใจตายแถมเป็นการต่อสู้แบบหนึ่งต่อสิบหนึ่งต่อร้อยแล้วด้วย   คนไม่กล้าไม่รักชาติจริงมันทำไม่ได้หรอกครับ  ข้าพเจ้าเชื่อว่าต่อให้ ประยุทธ์ หรือ สรรเสริญ ถ้าต้องเผชิญหน้ากับทหารข้าศึกที่มากกว่ากันหลายสิบเท่าตัวก็คงต้องขึ้นแบล็กฮอล์คนี้แล้ว   แต่กองอาทมาตไม่หวั่นไม่หนีกลับวิ่งเข้าใส่ประเคนอาวุธต่าง ๆ ใส่อริราชศัตรู  และก็ต้องผิดหวังเมื่อเห็นแม่ทัพที่คุมทัพหลวงหนี   ถ้าพระยารัตนาธิเบศร์มาช่วย  กองอาทมาตจะแพ้ไหม  ตอบไม่ได้...   แต่คงไม่ตายชนิดสูญพันธ์เช่นนี้

แล้วละครเรื่องนี้สอนอะไร   ข้อหนึ่งแน่นอนครับท่านขุนรอง  มันสอนให้คนรักชาติและรักอย่างมีเหตุผล   แล้วข้อสองคือ  มันเป็นบทเรียนสอนให้รู้ว่า  อำมาตย์  แม่งเลวระยำหมาต่ำกว่าเหี้ยน่ารังเกียจกว่าหนอนกินศพมาตั้งแต่ยุคอยุูธยาแล้ว   วีรชนกองอาสาวิเศษไชยชาญเขามาด้วยใจรักชาติอยากปกป้องปฐพีโดยไม่ได้หวังลาภสักการะอันใด  เขามีความมุ่งหวังเพียงจะยันทัพของไอ้มังมหานรธาไว้ให้ได้   และมีความหวังว่าทัพหลวงจะมาช่วยชาวบ้านจับศึกเพื่อให้ประเทศพ้นภัย   แต่แล้วอำมาตย์ทำอะไรฝากไว้กับแผ่นดิน   มันยืนมองการศึกอยู่บนภูเขาพอเห็นทัพพม่าที่มากมายจนมืดดำก็ชักม้าหนีแล้วไปเพ็ดทูลเอาลาภยศใส่ตัวว่า  "สู้ศึกเต็มที่แล้ว"  อำมาตย์ไม่ได้ทำอะไรเลยไม่แม้แต่จะคิดช่วย

ไม่เพียงกองอาทมาตที่อำมาตย์เป็นผู้ฆ่าทางอ้อม   ชาวบ้านบางระจันอีกเล่า  มิใช่อำมาตย์และชนชั้นสูงในขณะนั้นเหรอที่เป็นผู้ช่วยพม่าฆ่าวีรชนเหล่านั้นให้ล้มตาย

ท่านขุนรอง  ข้าพเจ้านับถือหัวใจท่านนัก  แต่ข้าพเจ้าอยากรู้เพียงว่าถ้าท่านรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่าอำมาตย์มันชั่วช้าสามานย์แบบนี้ท่านจะยังอาสาไปรบไหม   ท่านจะอาสาไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันจะไม่ใยดีปล่อยให้พวกท่านตายอย่างหมูหมา  ทารุณกรรมรุมโทรมศพพวกท่านไหม  ท่านจะปล่อยให้ลูกน้องถูกเอาหัวกดน้ำ  ถูกม้าแยกร่าง  ถูกค้อนทุบจนร่างกายแหลกไหม   ท่านไม่ต้องตอบนะขุนรอง  (เพราะถ้าท่านมาจริง  ข้าพเจ้าก็คงไม่อยู่แล้ว)   แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านคงตอบข้าพเจ้าว่า  "ข้าก็ยังสู้"  เพราะท่านสู้ด้วยหัวใจที่รักชาติปกป้องพระศาสนา  แต่ท่านรักกษัตริย์ไหม  ข้าพเจ้าตอบไม่ได้   เพราะถ้ากษัตริย์ยุคนั้นแข็งแรงและเป็นที่รักของประชาชนเมืองคงไม่แตก  คงไม่มีศัตรูไหนกล้ามารุกราน   ศัตรูจะยกมาทุกประชิดเมืองได้ก็เมื่อเห็นว่าระบอบกษัตริย์อ่อนแอไม่เอาไหนและไม่เป็นที่รักของประชาชน

วันนี้มีคนขุดเอาชีวิตท่านมาสร้าง  ข้าพเจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีนะท่านขุนรอง  แต่ข้าพเจ้าก็ยังสงสัยเจตนาที่แท้จริงของผู้สร้าง ว่า เขาจะกล้าชี้ให้เห็นความเลวของระบอบอำมาตย์ไหม   ชี้ให้เห็นชัด ๆ ว่า  ระบอบอำมาตย์มันเลวมาตั้งแต่โบราณและเลวเรื่อยมาจนถึงวันนี้  และชี้ให้เห็นถึงระบอบกษัตริย์ที่ฟุ่มเฟือยอ่อนแอจนเป็นเหตุให้สิ้นชาติ   หรือผู้สร้างเพียงแค่จะทำให้เกิดกระแสรักชาติโดยเอาความจริงที่ชัดเจนซ่อนไว้ใต้พรม   ความตายของท่านเป็นเรื่องของความกล้าแต่กำลังจะเกิดใหม่อย่างแปดเปื้อน  เพราะวันนี้มีคนสงสัยมากมายถึงวีรกรรมที่เป็นเพียงตำนานของพวกท่าน   มันน่าอนาจใจที่คนเราเอาเรื่องนี้มาถกเถียงทั้ง ๆ ที่แทบจะหาความจริงหรือเอกสารเป็นชิ้นอันพิสูจน์ไม่ได้  พวกท่านตกหล่นในหน้าประวัติศาสตร์แต่คนขลาดเขลากลุ่มหนึ่งกำลังเอามาท่านหากินและปลุกกระแสเพื่อให้เกิดความเกลียดชัง

ท่านขุนรองครับ  ท่านคือเหยื่ออันบริสุทธิ์ของระบอบศักดินาสวามิภักดิ์และเป็นคนดีที่ระบอบกษัตริย์ไม่เคยให้ความสำคัญ  

ท่านขุนรองครับ  ดวงวิญญาณของท่านอยู่ที่ไหน  อยู่ที่บ้านสี่ร้อยหรือยังเป็นวิญญาณเจ้าที่อยู่ที่อ่าวหว้าขาว   ข้าพเจ้าไม่แน่ใจและไม่ต้องมาบอกนะครับ  ข้าพเจ้าเพียงอยากจะบอกท่านว่า  เมื่อสิ่งที่เป็นปัญหาให้กับประเทศมาตลอดหลายปีคือ ระบบอำมาตย์  ดังนั้นวันนี้มีประชาชนกลุ่มหนึ่งลุกขึ้นสู้เพื่อกวาดล้างและเอาเลือดหัวอำมาตย์มาล้างตีน   ขอให้ท่านชักชวนชาวบ้านบางระจันที่เป็นเหยื่อความโลภเหยื่อความจัญไรของอำมาตย์จับมือกันช่วยมาอำนวยพรให้ประชาชนกลุ่มนั้นได้ไหม   เขากลุ่มนั้นรักชาติไม่แพ้ใครในแผ่นดินไม่งั้นคงไม่ออกมาต่อสู้ด้วยความหวังว่า  "สักวันหนึ่งประเทศไทยจะดีขึ้น"   เขาเดินหน้าต่อสู้กับอำนาจอำมหิตของระบบอำมาตย์ที่ฝังรากมานาน   ขอให้ท่านและชาวบ้านบางระจันช่วยปกป้องคุ้มครองรักษาให้พวกเขากวาดล้างตัวถ่วงความเจริญของประเทศให้ได้นะครับท่านขุนรอง

ข้าพเจ้าเชื่อว่าวิญญาณของพวกท่านยังไม่สงบ  เพราะคงคาใจว่าเพราะเหตุใดพวกท่านถึงตายเพราะเหตุใดกรุงถึงแตก  ดังนั้นพวกเราอนุชนรุ่นหลังท่านจะรับช่วงแก้แค้นให้ท่านเองนะครับท่านขุนรอง   พวกเราจะสู้กับอำมาตย์ต่อไปจนกว่าจะได้ชัยชนะ   ต่อสู้เพื่อไม่ให้คนดี ๆ ต้องเป็นเหยื่อความบ้าอำนาจ  ความโลภของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอีกแล้ว

ขอสดุดีดวงวิญญาณและความกล้าหาญของท่านไว้ ณ ที่นี้ 

เรื่องสั้นเรื่องแรก ๆ ของข้าพเจ้าเมื่อสิบปีก่อน (ยังไม่ได้แก้ไข) "พบกันที่... บางระจัน"

"กูจะกลับบ้าน กูจะกลับบ้าน" อมรเทพร่ำร้องเสียงดัง แม้ร่างกายของเขาจะเต็มไปด้วยผ้าพันแผลแต่ก็พยายามดิ้นให้หลุดพ้นจากพันธนาการที่มัดมือและเท้า

"คุณหลวง ผมว่าไอ้นี่มันท่าจะบ้านะ" ชายร่างใหญ่เปลือยบนพูดขึ้น

"กระผมก็ว่าอย่างนั้น มันพูดอะไรกระผมก็หาเข้าใจไม่" ชายอีกคนตอบ ชายคนนี้มีร่างเล็กกว่าคนแรก

อมรเทพยังคงดิ้นอยู่บนแคร่ไม้ ผ้าที่รัดมือและเท้าของเขากลับรัดแน่นทุกครั้งที่อมรเทพขยับกาย เขากรีดเสียงร้องดังขึ้นและร่ำร้องแต่คำว่า "กูจะกลับบ้าน กูจะกลับบ้าน" อมรเทพร้องจนสองชายฉกรรจ์ที่ยืนฟังอยู่อดทนไม่ไหว ชายคนที่ร่างใหญ่กว่าตรงมาทางอมรเทพก่อนจะนั่งลงที่แคร่ไม้ เขาค่อย ๆ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล

"เจ้าตอบมาดี ๆ สิ ว่า บ้านเจ้าอยู่บางไหน เมืองใด ข้าจะได้ส่งเจ้าถูก ข้าเองก็ไม่ได้อยากคุมตัวเจ้า แต่ตอนนี้มันเคราะห์หามยามศึกจะปล่อยเจ้าไปทะเล่อทะล่าจะเป็นได้ถูกกุดหัวเสียเล่น ๆ "

"กูบอกแล้วไง บ้านกูอยู่เยาวราช เยาวราช ข้ามาเที่ยวทะเลกับเพื่อน แล้วทำไมอยู่ ๆ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแบบนี้"

"หลวงจบ ท่านรู้หรือไม่เยาวราชคือที่ใด"

"กระผมขอตอบคุณหลวงอย่างที่เคยตอบแหล่ะ ไม่เคยได้ยินเลย หลวงแสน ข้าว่าไอ้หนุ่มนี้คงวิกลจริตเสียเป็นแม่นมั่น"

อมรเทพชะงักไปชั่วครู่เหมือนโดนผีถีบหน้าอย่างจัง เขาสะบัดหัวอย่างแรงก่อนจะพูดด้วยเสียงดังเชิงคำถาม

"ท่านชื่ออะไรนะ ท่านทั้งสองน่ะ"

"ข้าหลวงจบไกรแดน" ชายร่างเล็กกว่าพูดขึ้น

"ท่านนี้ก็คือ หลวงแสนพลพ่าย ใช่หรือไม่" อมรเทพสวนทันควัน

ชายร่างใหญ่สะดุ้งเฮือก ก่อนจะถามด้วยความตกใจ "ท่านรู้ได้เยี่ยงไร ข้าไม่เคยบอกท่านนี่"

อมรเทพทรุดหัวลงกับที่นอนก่อนจะถอนหายใจออกมาแรง ๆ จากนั้นก็กรีดเสียงหัวเราะออกมาจนลั่นกระโจม อมรเทพพยายามจะหลอกตัวเองด้วยเสียงหัวเราะและพยายามมองหาอาการโกหกของคนทั้งคู่ แต่เมื่อไม่พบ... อมรเทพได้กรีดเสียงหัวเราะออกมาอีกหน เสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความตลกของชีวิต

อมรเทพจำได้ดีว่า ที่นี่คือ อ่าวหว้าขาว ที่เขากับเพื่อนตั้งใจมาเที่ยวและดื่มด่ำความงามของหาดทรายขาวเคียวโค้งและขอบทะเล แต่อยู่ ๆ มีเหมือนมีอสุนีบาตมาฟาดลงที่หัว อมรเทพได้หลับไหลและมาตื่นอีกทีก็อยู่ในที่แปลกตา จนเขาต้องสติแตกและสุดท้ายก็ถูกจับมัดมานอนที่กระโจมนี่

อมรเทพหัวเราะอีกครั้ง... จนสองคุณหลวงผู้มีชื่อต้องหยุดมองและเหมือนความอดทนของหลวงแสนพลพ่ายหมดลง เขาเดินมาและถามด้วยเสียงอันดัง

"เจ้าหัวร่ออะไรรึ ชื่อข้ามีกระไรน่าหัวร่อรึ"

"คุณหลวง ภรรยาท่านชื่อ อุ่นเรือน ใช่หรือไม่"

หลวงแสนฟังคำพูดนี้จบถึงกับสะดุ้งกาย ก่อนจะชี้นิ้วไปที่อมรเทพแล้วพูดด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม

"เจ้ารู้ได้อย่างไร"

อมรเทพไม่ตอบคำ แต่หันไปพูดกับอีกคนว่า "ส่วนท่านหลวงจบ ภรรยาท่านชื่อ นิ่มนวล ใช่หรือไม่"

หลวงจบไกรแดน แสดงอาการตกใจออกมาชัดเจนกว่าหลวงแสน ก่อนจะถามออกมาด้วยสำเนียงเดียวกัน

"เจ้ารู้ได้อย่างไร"

อมรเทพไม่ตอบคำได้แต่แนบหน้าลงกับหมอนไม้และปล่อยให้น้ำอุ่น ๆ ไหลออกจาตา เขาไม่รู้ว่าจะบอกคนสองคนนี้ให้เชื่อได้อย่างไรว่า เขารู้จักสองคนนี้มาก่อน อมรเทพไม่ได้ร้องไห้ที่เค้ามาปรากฏตัวผิดยุคผิดสมัย เพราะเขาจำได้ว่า วันสุดท้ายที่มาถึงที่นี่ปฏิทินในโทรศัพท์มือถือปรากฏชัดว่า อมรเทพมีชีวิตอยู่ใน คริสต์ศักราช 2000 แต่การที่เขาต้องหลั่งน้ำตาเพราะอมรเทพรู้ดีว่า พรุ้งนี้ที่นี่จะเกิดอะไรขึ้น หรือ ไม่อีกกี่มากน้อยนี้จะเกิดอะไรขึ้น

ขณะที่เขากำลังเก็บกักน้ำตา ผ้าม่านหน้ากระโจมก็เปิดออก ชายร่างใหญ่ผิวขาวปรากฏที่เบื้องหน้ากระโจม เขาอยู่ในชุดนักรบที่ดูแล้วทแก้วกล้ายิ่งนัก

"คุณหลวงทั้งสอง พม่ามันมาแล้ว เราไปดูลาดเลากันเถิด" พูดจบชายคนนั้นก็ปรายตามาที่อมรเทพก่อนจะถามขึ้น "คนนี้ใครรึ เหตุใดแต่งตัวพิลึกนัก"

"ข้าก็ไม่รู้ ข้าเจอมันนอนสลบอยู่ริมหาดเลยแบกมา พอตื่นขึ้นก็โวยวาย เห็นบอกแต่ว่า มาจากเยาวราชนั่นล่ะหลวงไกร" เสียงหลวงแสนเป็นคนตอบ

"ท่านชื่อ หลวงไกรสีห์ราชภักดี มีเมียชื่อดาวเรือง ท่านมีดาบสองอันประจำตระกูล เล่มหนึ่งอยู่ที่ท่าน อีกเล่มอยู่ที่หลวงเทพพี่ชายท่านใช่ไหม" อมรเทพพูดโดยมิมองหน้า

"โอหังนัก..." หลวงไกรคำราม "ข้ายังไม่มีเมีย แต่ดาวเรืองเจ้ารู้จักได้อย่างไร ข้าไม่ได้เจอน้องข้ามานานแล้ว"

"เชื่อข้าเหอะ เดี๊ยวเสร็จศึกบ้านบางระจัน ท่านก็จะกลับไปพระนครแล้วก็ได้แต่งกับดาวเรืองตอนนั้นแหล่ะ"

"เจ้าเป็นโหรรึ" หลวงไกรถามน้ำเสียงอ่อนโยนลงไปเยอะ

อมรเทพคำรามเสียงหัวเราะอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี เพราะคนที่ยืนอยู่ในกระโจมนี้มีชีวิตอยู่ในหนังสือที่เขาเคยอ่านพบ หลวงจบไกรแดน และ หลวงแสนพลพ่าย มาจาก หนังสือกรุงแตกของ หลวงวิจิตร ส่วนอีกคน หลวงไกร มาจาก สายโลหิต ของ โสภาค สุวรรณ เขารู้ดีว่าถ้าเขาพูดออกไปคงเหลวไหลในความคิดของสามคุณหลวง อมรเทพจึงได้แต่หัวเราะ หัวเราะทั้งน้ำตา

"เจ้ายังมิตอบข้าเลย เจ้าเปนโหรรึ ?" หลวงไกรย้ำคำถามเดิม

"ข้ามิใช่โหรดอก ว่าแต่ท่านช่วยปลดข้าให้ออกจากพันธนาการที ข้าสัญญาจะไม่คลุ้มคลั่งอีก" อมรเทพหมายความตามนั้น

หลวงจบไกรแดนเดินมาแล้วปลดผ้าพันออก อมรเทพกล่าวคำขอบคุณก่อนจะเดินออกจากกระโจมไป พระอาทิตย์ที่อ่าวหว้าขาวงามตาท้องฟ้าสีใสน้ำทะเลมีระยิบแห่งแสงรวี แต่อีกไม่นานนี้ ณ ทีนี้ความสวยงามเหล่านี้จะเจือไปด้วยเลือดแห่งกองทหารอาทมาตวิเศษไชยชาญ สามคุณหลวงเดินออกมาจากกระโจมและจับตาดูชายหนุ่มที่เหมือนจะแปลกแต่น่าสนใจคนนี้

"ข้าขอร่วมรบกับท่านได้ไหม คุณหลวงทั้งสาม" อมรเทพกล่าวคำโดยไม่ได้หันหน้าไปมอง

"ร่างกายเจ้าอ้อนแอ้นเช่นนี้ แต่งตัวเยี่ยงนี้จะไหวรึ" เสียงหลวงไกรตอบคำ

"ก็ไหน ๆ ข้าก็มีชีวิตที่แสนพิลึกแล้ว จะทำการณ์ที่มันพิลึกอีกซักหน่อยจะเป็นไรไป" อมรเทพพูดช้า ๆ ในชีวิตนี้เขาไม่เคยตบแม้แต่ยุงแม้แต่ตัวเดียว แต่ครานี้เขาจะทำในเรื่องที่เกินคาด แล้วเขาก็พูดต่อ "ว่าแต่ ท่านอย่าหวังสิ่งใดกับพระยารัตนาธิเบศร์มากนักก็แล้วกัน" อมรเทพทิ้งคำไว้ ก่อนจะเดินไปชมความงามรอบ ๆ อ่าว

อมรเทพเดินครุ่นคิดเรื่อยไปความงามแม้จะต้องตาแต่สถานการณ์และความเคลื่อนไหวก็ไม่เป็นที่น่าไว้วางใจ ไม่นานนักก็มีเสียงจากหุบเขามันสะเทือนลั่นปานฟ้าจะถล่ม เสียงเฮละโลดังขึ้นจากสี่ทิศแปดทาง อมรเทพหันไปจากจุดที่มาตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างในหนังสือประวัติศาสตร์ได้บอกไว้ การตะลุมบอนเกิดขึ้นกลางหาดทรายขาว เสียงอาวุธดังแปร่งปร่างลั่นปฐพีบ้างเสียดสีกับลมจนหวีดหวิว อมรเทพวิ่งกลับไปที่กระโจม จับอาวุธที่วางอยู่ตรงบริเวณนั้นแล้วกระชับเป้เดินทางที่ติดมาจากโลกของเขาให้เข้าร่าง

อมรเทพกระโดดกระโดดเข้าไปตะลุมบอนกลางหาดทราย เขากำดาบด้วยมือทั้งสองแล้วกวัดแกว่งมันหาศัตรูที่นุ่งโสล่งทุกหน้า อมรเทพกดน้ำหนักสุดแรงไปที่ข้าศึกเสียงไหปลาร้าแตกของศัตรูดังเข้ามาในหูของเขา เลือดสด ๆ กระเด็นเข้าสู่ใบหน้าและดวงตา อมรเทพเดินรบอย่างไม่คิดชีวิตหมายมั่นจะปลิดหัวคนที่เป็นอริราชแห่งศรีพระนคร

อมรเทพฟาดฟันไม่เลือกหน้า ร่างทหารพม่าร่วงหล่นสู่พื้นดุจใบไม้ อยู่ ๆ เค้าก็รู้สึกเจ็บปวดที่ต้นแขน อมรเทพหันไปดูจุดนั้น รอยบากยาวลึกเลือดสด ๆไหลทะลักออกมาเป็นสาย อมรเทพวาดดาบลงไปที่คนที่ลอบฟันก่อนจะปลดเป้ออกมา หยิบเข็มเย็บผ้าและขวดทิงเจอร์ อมรเทพราดทิงเจอร์ลงกับแผลก่อนจะควานหาขวดเบตาดีน เขาหยิบออกมาและหยดน้ำสีน้ำตาลลงที่ปากแผลแล้วบรรจงใช้เข็มเย็บผ้าเจาะลงไปในเนื้อและร้อยให้แผลปิดสนิท ก่อนที่เขาจะยันร่างขึ้น หลวงไกรก็ล้มลงต่อหน้า เหนือเข่ามีรอยแผลยาว อมรเทพส่งขวดทิงเจอร์และเบตาดีนให้คุณหลวงก่อนจะบอกว่า

"ใช้ซะ จะได้ไม่เป็นบาดทะยัก"

หลวงไกรทำตามอย่างว่าง่ายก่อนจะซู้ดปากเมื่อทิงเจอร์หยดลงบนปากแผล อมรเทพเดินฟันศัตรูอย่างบ้าคลั่งแม้เขาจะรู้ดีว่า การรบครั้งนี้ฝ่ายพ่ายแพ้คือใคร แต่เขาก็ตั้งใจรบต่อไปเพราะอยากรับใช้ชาติซักหน ในยุคที่เขาจากมา คนไทยดีแต่รบกันเองด่ากันเอง ไร้ซึ่งความสามัคคี ตั้งฝักฝ่ายตั้งป้อมทำลายล้างกัน จะมีซักกี่หนที่คนในยุคของเขาจะได้ทำเพื่อชาติอย่างแท้จริงเช่นนี้ อมรเทพมองหน้าหลวงจบไกรแดนและหลวงแสนพลพ่าย ก่อนจะกลับไปมองหน้าของหลวงไกรสีห์ราชภักดี

เขาต่างมาจากคนละที่ มาจากนิยายคนละเล่มแต่จุดหมายชีวิตต่อ ๆ ไปของเขาเหล่านั้นล้วนอยู่ในเส้นทางเดียวกัน คือ เดินสายฆ่าพม่าแม้ตัวตนของเขาจะต้องพ่ายแพ้ในทุกสมรภูมิ อมรเทพตัดสินใจว่าเค้าจะร่วมเดินทางกับคนเหล่านี้ และรู้ดีว่าสมรภูมิต่อไปของคนเหล่านั้นคือ บางระจัน

อมรเทพรู้ทุกอย่าง เขารู้แม้กระทั่งว่า หลวงไกรจะตายในต้นแผ่นดินกรุงธนบุรี แต่สองหลวงนี้จะตายในวันกรุงแตก อมรเทพเดินฟันศัตรูด้วยจิตฮึกเหิมก่อนจะหลั่งน้ำตาให้กับความกล้าของบรรพบุรุษไทย อมรเทพมองไปบนเขาเห็นเงากองทัพพระยารัตนาธิเบศร์ซึ่งกำลังย้ายพลหนี อมรเทพหัวร่อเบาพร้อมกับภูมิใจว่าประวัติศาสตร์ในยุคเขาเป็นที่พอเชื่อถือได้...

หลวงจบและหลวงแสนเดินมารบเคียงบ่าเคียงไหล่กับอมรเทพและตามติดด้วยหลวงไกร ทั้งสามต่างถามเป็นเสียงเดียวกันว่า

"ทำไมเจ้าถึงรู้ว่า พระยารัตนาธิเบศร์ไว้ใจไม่ได้"

"ท่านจะเชื่อไหมว่าข้ามาจากอนาคต หลังจากยุคของท่านไปหลายร้อยปี" อมรเทพหันไปทางหลวงไกร "คุณหลวง ขอทิงเจอร์กับเบตาดีนคืนด้วย"

"ข้าเชื่อ" หลวงจบไกรแดนพูดแต่มือยังคงฟาดอาวุธใส่เหล่าโจรร้ายต่อไป

"แล้วกรุงจะแตกไหม ไทยยังจะเป็นไทยไหม เจ้าบอกที" หลวงแสนพลพ่ายถามต่อ

"ไทยยังคงเป็นไทย แต่ไม่ใช่แผ่นดินศรีอยุธยา" อมรเทพตอบอย่างเจ็บใจ เพราะไทยแม้ยังเป็นไทย แต่ไร้ความสามัคคีอย่างสิ้นเชิง เพื่ออำนาจและลาภสักการะ ทำให้คนไทยด้วยกันมาฟาดฟันกันเอง แต่อมรเทพมิได้ตอบอะไรได้เพียงแต่ไปเสียแค่นั้น

"เราจะตายไหม" หลวงไกรถามต่อ

"ท่านจะตายทีหลัง ท่านจะตายในอีกแผ่นดิน"

"แล้วเราสองคนล่ะ"

อมรเทพทำเป็นไม่ได้ยินได้แต่เดินตะลุยรบ ขณะนี้รอบตัวเขามีทหารกองอาทมาตเหลืออยู่ไม่กี่คนแล้ว พม่าล้อมโอบกองทัพเข้ามา แม้เราจะพวกน้อยกว่า แต่ทุกคนก็ใจหาญที่จะสู้ อมรเทพกำดาบด้วยสองมือแน่นก่อนจะกระโดดเข้าใส่ทหารพม่าที่เป็นระดับนายกอง แต่ร่างเขาก็ต้องร่วงลงเมื่อนายทหารคนนั้นตวัดดาบกลับ ดาบหลุดกระเด็นจากมือ ร่างของเขาคลุกทราย นายทหารคนนั้นเดินสามขุมมาหาก่อนจะยกดาบขึ้น

จู่ ๆ ....

เสียงโทรศัพท์ที่อยู่ในกางเกงยีนส์ก็ดังขึ้น อมรเทพโบกมือให้นายกองพม่ารอเดี๊ยวซึ่งเขาก็ทำตามแต่โดยดี อมรเทพหยิบโทรศัพท์ออกมาและกดรับ

"อาเทพ ลื้อหายหัวไปไหนว้า พรุ้งนี้ต้องไหว้พระจันทร์น้าไอ้ลูกเวง กลับมากินข้าวให้ทันด้วย" ไม่ทันที่จะตอบอะไรไป คุณแม่ของเขาก็วางสาย

"เอายัง" นายกองคนนั้นถามอมรเทพ

"เออ ต่อเลย"

ดาบเล่มนั้นเสือกลงมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ถึงตัวเขา หลวงไกรกระโดดเข้ามาปัดคมดาบให้ห่างจากตัวเด็กหนุ่ม

"ขี้โกงนี่หว่า" นายกองคนนั้นโวยวาย "ถ้าเมื่อกี้ไม่มีอุ๊บอิ๊บ ไอ้นี่ตายไปแล้ว"

หลวงไกรไม่ฟังเสียง เขาเดินไปและตัดหัวของคนนั้นอย่างง่ายดายประดุจล้วงของในถุง

ทหารพม่าตีวงเข้ามาเรื่อย ๆ แม้จะมีคนร่วงหล่นแต่จำนวนที่มาเสริมก็มากล้นจนท่วมท้น หลวงไกรเจอวงล้อมบีบจนหลังชนกับหลวงแสน หลวงจบขยับถอยจนหลังมาชนกับอมรเทพ

ทั้งสี่คนยืนหลังชนกันแต่หน้าหันสู่ทิศทั้งสี่ ที่มองไปทางใดก็มีแต่ทหารพม่า... จู่ ๆ ท้องฟ้าก็เปลี่ยนสี กำลังพม่าก็ขยับจนหลังของคนทั้งสี่แนบกับจนเกือบจะหลอมเป็นเนื้อเดียว



อมรเทพยิ้มให้กับคนทั้งสี่ ก่อนจะพูดขึ้น "ข้าคงไม่ได้ไปบางระจันกับพวกท่าน แต่ข้ารู้ดีว่าพวกท่านจะได้ไปปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติด้วยความกล้าหาญต่อที่นั่น"

เสียงฟ้าผ่าลงมาโครมใหญ่ มันแรงจนผู้เป็นนักรบต้องสะดุ้งด้วยตกใจเสียง

"เจ้าพูดอะไร" หลวงไกรพูดขึ้น

"ข้าจะสู้ตาย" อมรเทพตอบเบา ๆ

"เจ้าจะตายไม่ได้" หลวงจบไกรแดนพูดด้วยเสียงดัง "เจ้าต้องจำภาพวันนี้ไปบอกให้ลูกหลานไทยของเราได้รับรู้สิ"

"ใช่" หลวงแสนพลพ่ายพูดเสริม "ให้คนรุ่นหลังได้รู้วีรกรรมของเรา พวกเขาจะได้มีสำนึกรักชาติต่อไป"

อมรเทพขำในใจ ก่อนจะตอบในใจอีกว่า "พวกมันน่ะรู้ แต่ไม่สำนึก ทุกวันนี้คนไทยกัดกันไม่ต่างกับหมา" อมรเทพกำดาบแน่นขึ้นก่อนส่งร่างออกไปในอากาศด้วยความเร็ว "ถ้าข้ารอดไปได้ เจอกันที่บางระจัน" อมรเทพรุ้ดีว่าการพุ่งไปข้างหน้าแบบนี้ก็ไม่ต่างจากการฆ่าตัวตาย ทหารนับหมื่นพันรอฉีกร่างของเขาเป็นชิ้น ๆ

"ไอ้หนุ่ม อย่าทำแบบนั้น" หลวงไกรตะโกนลั่น "เจ้าต้องหาทางกลับไปยุคของเจ้า ไปต่อสู้เพื่อยุคเจ้า"

อมรเทพขนลุกชันแม้เขาอยากทำแต่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะในยุคของเขาไม่มีใครฟัง คำพูดที่มีอิทธิพลในยุคปี 2000 คือคำพูดของนักการเมืองน้ำเน่าและเศรษฐีที่ไร้จริยะธรรม รวมไปถึงคำโกหกของดาราเลว ๆ ดังนั้นการจะมีอมรเทพในเมืองฟ้าอมรปี 2000 หรือไม่ ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญเลย

ฟ้าคำรามลงมาอีกครั้ง แสงขาว ๆ ปาดให้เรืองทั้งนภาจากมืดกลายเป็นสว่าง ร่างของอมรเทพที่กำลังลอยไปหาคมหอกคมดาบเหมือนถูกดูดลอยขึ้น อมรเทพทอดตาลงมาเบื้องล่างเขาเห็นสายตาที่ผู้คนมองร่างของเขาด้วยความแปลกใจ

จู่ ๆ ก้นของเขาก็กระแทกกับแผ่นไม้ อมรเทพสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นคนที่นั่งข้าง ๆ เป็น

"โดเรมอน"

แมวสีฟ้าหันมายิ้มกับเขาแล้วพูดเป็นภาษาที่ฟังออก

"เกิดความผิดพลาดนิดหน่อย โนบิตะเล่นซนไปนิด นายจึงมาอยู่ที่นี่ ขอโทษที"

อมรเทพยังมีสีหน้าตกใจ โนบีตะ จึงเดินมาใกล้แล้วพูดเป็นภาษาไทย

"นายคงรู้ใช่ไหม ว่า เรากับโดเรมอนมีวุ้นแปลภาษา ดังนั้นอย่าแปลกใจที่เราพูดภาษานายได้" พูดจบโนบิตะก็ยิ้มละไม

"กูไม่ได้ตกใจเพราะมึงพูดไทยได้ แต่กูงงว่ามึงโผล่มาได้ยังไง" อมรเทพตวาดสุดเสียง

"เอาน่า บอกแล้วไงว่า โนบีตะซนไปนิดรอเดี๊ยวเดียวจะไปส่งบ้านนะ"

ทันทีที่จบคำของโดเรมอน สิ่งที่ผ่านเข้ามาในม่านตาของอมรเทพก็มีแต่ความดำมืดและหลาย ๆ ครั้งเห็นเหมือนรูปนาฬิกาเรือนโตอยู่รอบกาย ความเร็วของการเคลื่อนที่ทำให้อมรเทพหูอื้อและตาลาย... ก่อนหนังตาของเขาจะปิดลงด้วยความเหนื่อยล้า ร่างกายของเค้าเหมือนจะดับลงทุกนาที...

อมรเทพค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา อ่าวหว้าขาวทอดยาวไกลอยู่ ณ เบื้องหน้า อมรเทพเอามือตบไปตามตัวอย่างร้อนรน เขาล้วงมือไปในกระเป๋า กดสายที่รับมาดู มันมีรายงานว่า แม่เขาโทรมาเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่าน และอมรเทพก็ได้รับไปแล้ว...

เหงื่อเม็ดเป้งผุดออกมาจากหน้าผาก อมรเทพคลำไปที่กระเป๋าอีกข้างก่อนจะล้วงมือเข้าไปและหยิบของในนั้นออกมา

เขามองสิ่งที่อยู่ในมือด้วยแววตาที่มุ่งมั่น มองรอยเลือดที่เปื้อนตรงฉลากของทิงเจอร์และฉลากขวดเบตาดี อมรเทพมองไปที่เลือดนั้นและเอามือลูบที่ต้นแขน เขาหยีตาด้วยความเจ็บปวดก่อนจะพูดกับตัวเองเบา ๆ

"แม้ไม่มีใครฟังเสียงกู กูก็จะทำยุคของกูให้ดีด้วยตัวกู กูจะตอบแทนบุญคุณของบรรพบุรุษด้วยการกระทำ"

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

จดหมายจากคลองกระจง (ฉบับแค้นฝังหุ่น) ถึง นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ



ในที่สุดก็ได้ฤกษ์งามยามดีในการเขียนจดหมายจากคลองกระจงฉบับนี้   ฉบับนี้เป็นคิวของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ข้าพเจ้าตั้งท่าจะเขียนหามานาน   แต่แล้วก็ไม่ได้เขียนสักทีเพราะกลัวเนื้อหาจะดุเดือดเกินความเป็นสุภาพชนจะรับกันได้  วันนี้ก่อนจะเขียนข้าพเจ้าปรับอารมณ์หยิบหนังสือธรรมะเจริญภาวนา  เมื่อเข้าสู่ความนิ่งแล้วจึงหันหน้าหาแป้นพิมพ์เพื่อเขียนศุภอักษรถึง  นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ  ข้าพเจ้าได้ยินชื่อของคน ๆ นี้มาตั้งแต่เด็กตัวเล็กน้อยเพราะในช่วงนั้นมีข่าวใหญ่หลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนายคนนี้และเห็นที่จำได้ติดหูติดตาที่สุดคือ  คดี สปก. ๔ - ๐๑  เมื่อนึกถึงคดีนี้ทีไรข้าพเจ้าก็แปลกใจเหลือเกินเมื่อเอามาเทียบเคียงกับคดีที่ดินรัชดาของ พตท. ดร. ทักษิณ เพราะนายสุเทพเป็นคนหนึ่งที่ชอบเรียกทักษิณจนติดปากว่า นักโทษชาย  ทั้ง ๆ ที่นายสุเทพรู้ดีว่าคดีที่ดินรัชดาของทักษิณนั้นเมื่อเอามาเทียบกับความผิดที่สุเทพเคยทำไว้ตอน สปก. ก็เรียกได้ว่าถ้าทักษิณเป็นนักโทษ  นายสุเทพก็มีความผิดถึงขั้นนักโทษอุกฉกรรจ์ต้องโทษประหารเจ็ดชั่วโคตรเลยทีเดียว

และนายสุเทพก็เป็นบุคคลที่ข้าพเจ้าแปลกใจเสมอเพราะเหมือนว่าเขานั้นไม่เคยรู้จักจดใจและแก้ไขความผิดของตัวเอง  ตอนนั้นมีปัญหาเรื่อง สปก. เมื่อไม่นานที่ผ่านมาก็มีปัญหากับที่ดินบุกรุกเขตต้นน้ำอย่างเขาแพงและดูเหมือนคดีนี้จะหายเข้ากลีบเมฆไป   ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่านายสุเทพติดอกติดใจอะไรกับการฉ้อฉลเรื่องที่ดินนักหนาหรือจะเป็นเพราะว่าเขามีนามสกุลว่า  "เทือกสุบรรณ"  น่าจะแปลว่า  เทือกเขา  เลยต้องฮุบที่ป่าที่เขาเยอะ ๆ เอาไว้ทำหลุมศพของตัวเองและโคตรวงศ์   แต่เมื่อโตมาเริ่มสนใจการเมืองก็รู้ว่านายสุเทพมิได้มีดีแค่เรื่องโกงกินที่ดินหลวง  เขายังโกงกินอย่างอื่นจนหน้าดำตัวอ้วนขึ้นทุก ๆ วัน   และก็เรียนรู้ได้จากการดูนายสุเทพให้สัมภาษณ์ว่า  คนปากหมาสันดานไพร่นั้นเป็นเช่นไร  ถือว่าเปนเรื่องน่าชมเชยนะครับที่นายสุเทพแม้วันนี้จะเป็นคนใหญ่คนโตในประเทศ  ใส่สูทหรูขี่รถแพง  แต่ไม่เคยลืมกำพืดของตัวเอง  เพราะภายนอกแม้ดูโก้หร่านแต่เวลาอ้าปากก็จะกลับคือฐานะคนปากหมาสันดานไพร่เยี่ยงบรรพบุรุษของเขาเอง  เป็นคนที่ไม่ลืมกำพืดจริง ๆ

ไม่เพียงเท่านั้น  นายสุเทพยังสร้างปรากฏการณ์แย่งเมียเพื่อน  สวาปาล์ม  แต่เรื่องเหล่านั้นก็ดูเล็กในสายตาของข้าพเจ้าเพราะข้าพเจ้ารู้ว่าสันดานนักการเมืองก็คงไม่ต่างกัน  แต่สิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าเกลียดชังนายสุเทพนั้นก็คงเป็นเรื่องคดีของ จ่าเพียร  เพราะถ้าเราจำกันได้และย้อนรฤกชาติดูก็จะรู้และจำได้ทันทีว่า  จ่าเพียรที่ต้องเสียสละนั้นเพราะนายสุเทพเป็นต้นเหตุ  ไปล้วงลูกการโยกย้ายโผตำรวจจนทำให้คนดี ๆ ต้องจากโลกนี้ไป  ดังนั้นเมื่อตอนที่เขาออกมาแสดงความเสียใจที่แบล็กฮอล์คตก  ข้าพเจ้าถึงพูดออกมาว่า  "ทุกคนในประเทศไทยมีสิทธ์แสดงความเสียใจกับเรื่องนี้  แต่นายสุเทพไม่มีสิทธิ์"  เพราะเขามีจิตใจที่โหดเหี้ยมกลั่นแกล้งเอาแต่พวกพ้องจนจ่าเพียรต้องจากโลกนี้ไปอย่างโดนกลั่นแกล้งและความไม่เป็นธรรมของ  นายสุเทพ  เทือกสุบรรณ  สมัยก่อนนั้นข้าพเจ้าคิดว่า ทักษิณ นั้นเลวร้ายแล้วแต่มาวันนี้เมื่อเอา นายสุเทพ มาเทียบเคียง  มันเปรียบได้ว่า ทักษิณเป็นเจ้าชาย  และ  สุเทพ เป็นโจรร้ายกันเลยทีเดียว

ประเด็นสำคัญที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องเขียนจดหมายถึงก็เพราะวันนี้มีข่าวเรื่องการพบศพปริศนาที่จังหวัดระยองและมีเสียงสะท้อนออกมาว่า  ศพเหล่านี้อาจจะเป็นศพคนเสื้อแดงที่สูญหาย  ดังนั้นจึงเกิดแรงกระเพื่อมเป็นวงคลื่นที่กว้างไปเรื่อย ๆ จนทำให้วงกระเพื่อมของคนเสื้อแดงและวงกระเพื่อมของประชาธิปัตย์และกองทัพบกมากระทบกัน   ข้าพเจ้าตั้งใจฟังสิ่งที่ ผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์อย่างใจจดจ่อเพราะอยากรู้นักว่าเขาจะตอบอะไรและใส่อารมณ์ร้าย ๆ กับนักข่าวหรือเปล่า   แต่ปรากฏว่า ผบ.ทบ. ตอนนี้คงเหมือนเรียนรู้อะไรหลายอย่างมีประสพการณ์มากขึ้น  เขาจึงตอบออกมาได้ดีพอสมควรกับคนอย่างเขา  แต่คนที่ข้าพเจ้านึกไม่ถึงว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เสียอีกกลับออกมาพูดจาได้สมกับเป็น  "คนปากหมาสันดานไพร่"  เสียเหลือเกิน  แน่นอนครับเมื่อจดหมายฉบับนี้เขียนถึง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ  คนที่ผมเอ่ยไว้ก็คงจะหนีใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่มัน...

นายสุเทพออกมาปฏิเสธเสียงแข็งและชี้ว่านี่คือศพของคนที่ประสพภัยพิบัติตั้งแต่คราวพายุเกย์  บลา บลา บลา ก่อนจะตบท้ายว่า  "เรื่องทั้งหมดนี่ที่เขาทำให้เป็นเรื่องเพราะคนพวกนั้นเพียงแค่ต้องการจะใส่ร้ายผม"  ในเครื่องหมายคำพูดนั้นเป็นวาจาที่หลุดออกมาจากปากของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ   ข้าพเจ้าตะลึงงันอ้าปากค้างขนลุกชันปลายนิ้วเกร็งนิ้วเท้าจิกลึกลงไปบนพื้นกระเบื้องยาง  ข้าพเจ้าสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะแผดเสียงออกมาเพื่อต่อต้านสิ่งที่ได้ยินจากโทรทัศน์   ข้าพเจ้าเปล่งเสียงออกมาว่า

"ไอ้สัตว์เดรัจฉาน !!!"   คำ ๆ นี้เป็นคำสุภาพที่สุดแล้วเป็นคำที่มีความหมายเบาที่สุดที่จะนิยามความเป็น สุเทพ เทือกสุบรรณ 

นายสุเทพเป็นผู้หนึ่งที่เป็นแนวร่วมการสังหารหมู่ที่โหดเหี้ยมที่สุดในประเทศชาติ  จริงอยู่แม้เหตุการณ์ตุลาจะรุนแรงและยาวนานชุลมุนดูอลเวงกว่านี้แต่ในตอนนั้นประเทศเรารู้กันอยู่ว่าตกอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการ  มันเป็นสิ่งที่นักศึกษายุคนั้นรู้ดีและเตรียมใจไว้ตั้งแต่ต้น  แต่ในยุคนี้ยุคที่ประชาธิปไตยเบ่งบานแตกหน่อจนโตเต็มที่  แม้นายสุเทพไม่ต่อต้านการรัฐประหารแถมเป็นเชื้อร้ายที่การรัฐประหารแพร่พันธ์ไว้   แม้ไม่ต่อต้านก็ไม่ควรเห็นดีเห็นงามกับการยิงคน   ราชประสงค์นั้นเคยเป็นสมรภูมิเลือดในกบฏแมนฮัตตันที่ทหารบกกับทหารเรือยิงกัน  แต่ก็ไม่เคยเป็นสมรภูมิที่ทหารบกถือปืนไล่ยิงประชาชนอย่างเหี้ยมเกรียม  และภายใต้ความโหดร้ายนี้  นายสุเทพเป็นผู้กำกับการทุกขั้นตอน  นายสุเทพไม่เคยแสดงความเสียใจไม่ว่ากัน  แต่อย่าได้อาจหาญออกมาพูดว่า  "นี่คือการใส่ร้าย"

นายสุเทพไม่เคยยอมรับทหารใช้กำลังใส่ประชาชนก่อนและไม่เคยยอมรับว่าทหารใช้อาวุธจริงและไม่เคยยอมรับว่าใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุมแถมไม่เคยยอมรับว่าตัวเองอมที่หลวงโกงปาล์มอมเขาและอมเมียเพื่อน  นายสุเทพไม่เคยยอมรับอะไรแม้แต่เรื่องเดียวแต่เมื่อมีใครกล่าวถึงความผิดต่าง ๆ ของมัน  มันก็จะตอบแค่ว่า  "มันเป็นเรื่องใส่ร้าย"  แล้วทำตัวเป็นเตมีย์ใบ้ให้เรื่องจมหายไปกับกระแสที่ค่อย ๆ ถูกตั้งใจให้ลบเลือน

ข้าพเจ้าอยากถามนายสุเทพกง ๆ ว่า  "คุณเคยรับผิดชอบอะไรบ้างไหม"  และต่อด้วยคำถามว่า  "คุณสะกดคำว่า รับผิดชอบ ถูกเหรอเปล่า"  และทิ้งท้ายด้วยคำถามว่า  "คุณยังมีความเป็นมนุษย์หลงอยู่ในตัวไหม"  

คนที่ทำเรื่องเลวร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนายสุเทพได้  ข้าพเจ้าสันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าไม่มีความเป็นแม้ซักกระพีกในเลือดหรือในเซลล์ใด  อาจจะไม่เคยมีความเป็นมนุษย์มาตั้งแต่ดีเอ็นเอรุ่นพ่อรุ่นแม่  นายสุเทพถึงได้หาญกล้าทำเช่นนี้   ยิงคนตายไม่รับผิดชอบแถมกล่าวหาว่า  "คนใส่ร้าย"  ถ้าจิตใจไม่สามานย์จริง  ทำไม่ได้... 

ถ้าไล่เรียงเรื่องราวเมื่อคราราชประสงค์และพื้นที่รอบด้าน  ก็คงเขียนเป็นหนังสือได้หลายเล่มและจากผู้เขียนหลายคนแต่ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าสิ่งที่นักเขียนหลายคนนั้นจะเขียนตรงกันคือ  มีคำให้การจากพยานว่า  ทหารยิงประชาชนแล้วแบกขึ้นรถ  ทหารยิงประชาชนแล้วยิงคุ้มกันศพเพื่อไม่ให้คนเข้าไปเอาศพได้   และเรื่องราวเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องราวที่เกิดขึ้นครั้งเดียว  มันเกิดขึ้นวันต่อวันและวันละหลาย ๆ รอบ  ดังนั้นลองคิดดูไหมว่าปริศนาทหารยิงคนแล้วแบกขึ้นรถมีจำนวนกี่คน   นายสุเทพเคยตระหนักและคิดถึงเรื่องนี้ไหม  เคยเอาเรื่องนี้มาคิดในเชิงใจเขาใจเราบ้างหรือไม่  ถามไปก็สองไพเบี้ย  เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า  คนอย่างคุณมันไร้หัวใจและไร้สำนึกผิดชอบชั่วดี  

และที่สำคัญ  สุเทพ  คุณจงจำไว้  คนตายก็ตายไปแล้วเขาเป็นศพไปแล้ว  ถ้าคุณไม่มีสำนึกใด ๆ เลยก็ขอให้สวมวิญญาณสัตว์ที่มีวัฒนธรรมสักนิดก็ยังดี  เพราะคนที่มีวัฒนธรรมจะรู้ว่า  "ไม่ควรหากินหรือเอาศพมาเป็นเครื่องมือเพื่อผลประโยชน์ตน"  วันนี้สิ่งที่คุณพูดคือกำลังหากินกับศพและเอาศพเป็นเครื่องมือในการปกป้องตัวเอง  ถ้าความเป็นคนไม่มีเหลือแล้วก็กรุณารักษาความเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีวัฒนธรรมไว้บ้างนะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ  อย่าให้เกิดมาแล้วชีวิตหาดีให้กับชีวิตไม่ได้เลย

วันหนึ่งข้อเท็จจริงก็ต้องได้รับการพิสูจน์ออกมา  ไม่ต้องรีบเกาะศพและหากิน  คนเสื้อแดงที่เขาสงสัยเพราะเขามีสิทธ์สงสัยเพราะข่าวลือว่าทหารขนศพไปทิ้งตามจุดต่าง ๆ มันมากมายถ้าจะเรียงคำเล่าลือพวกนั้นเป็นตัวอักษร  คงปูลาดได้ตั้งแต่ทุ่งลุมพลียันมะขามหย่อง   ดังนั้นอย่าออกมาตอบโต้อย่าง คนปากหมาสันดานไพร่ และอย่าได้ริอ่านหากินกันศพเกาะศพเป็นเกราะกำบังกายอีกเลยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ

ข้าพเจ้าเสียใจอย่างยิ่งที่ต้องเกิดมาร่วมผืนปฐพีกับคนอย่างท่าน  แต่ก็ดีเหมือนกันเพราะข้าพเจ้าจารึกสิ่งที่ท่านทำลงไว้เพื่อสอนลูกหลานในรุ่นต่อไปว่า  ถ้าไม่อยากถูกคนทั้งสามโลกสาปแช่ง  อย่าริอ่านทำตัวอย่าง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ  หรือ  ถ้าไม่อยากให้ใครทั้งสามโลกมองว่าเป็นคนรกโลก  ขยะสังคม  ก็อย่าได้เอานายสุเทพ เทือกสุบรรณเป็นเยี่ยงอย่าง

สวัสดี

วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2554

จดหมายจากคลองกระจง ถึง โมฆบุรุษตุลย์ สิทธิสมวงศ์ (อีกรอบ กูเบื่อแล้วนะ)



ข้าพเจ้าไม่เคยคิดฝันว่าต้องเขียนจดหมายจากคลองกระจงถึงบุคคลคนเดียวเป็นคำรบที่สาม   เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าข้าพเจ้ามิใช่คนปากเปราะมิได้คิดจะด่าใครแล้วก็เขียนจดหมายด่าอย่างส่ง ๆ เรียกเสียงเฮไปวัน ๆ เพราะมิฉะนั้นข้าพเจ้าคงเขียนจดหมายด่าคนได้มากกว่าวันสองสามฉบับ  แต่เวลาข้าพเจ้าร่างจดหมายด่าใครนั้นต้องมีองค์ประกอบหลายประการซึ่งอยู่ในใจเป็นเบื้องต้นถึงจะกลั่นกรองศุภอักษรถึงบุคคลเหล่านั้นออกมาได้   และอีกสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าไม่คิดฝันว่าข้าพเจ้าจะเขียนจดหมายถึงคน ๆ เดียวในสามคำรบนั้นเพราะข้าพเจ้าเป็นลูกศิษย์ของพระสงฆ์ผู้ล่วงลับไปแล้วอย่าง  พระภิกษุพระยานรรัตน์ราชมานิต

ท่านเคยให้โอวาทไว้ว่า

จงระลึกถึงคติพจน์ ว่า “Do no wrong is do nothing!” “ ทำอะไรไม่ผิดเลย ก็คือไม่ทำอะไรเลย ”

ความผิดนี้แหละ เป็นครูอย่างดี ควรจะรู้สึกบุญคุณของตัวเอง ที่ทำอะไรผิดพลาด และควรสบายใจที่ได้พบกับอาจารย์ผู้วิเศษ คือความผิด จะได้ตรงกับคำว่า “ เจ็บแล้วต้องจำ” ตัวทำเอง ผิดเอง นี้แหละเป็นอาจารย์ผู้วิเศษ เป็น Good example ตัวอย่างที่ดี เพื่อจะได้จดจำไว้สังวรระวังไม่ให้ผิดต่อไป แล้วตั้งต้นใหม่ด้วยความไม่เลินเล่อเผลอประมาท อดีตที่ผิดไปแล้วก็ผ่านพ้นล่วงเลยไปแล้ว แต่อาจารย์ผู้วิเศษยังคงอยู่คอยกระซิบเตือนใจอยู่เสมอทุกขณะ ว่า “ ระวัง อย่าประมาทนะ ! อย่าให้ผิดพลาดเช่นนั้นอีกนะ !”

ผิดหนึ่งพึงจดไว้  ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง   ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง  จงหนัก เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า   หกซ้ำอภัยไฉน !

จงสังเกตพิจารณาดูให้ดีเถิด จะเห็นได้ว่า นักค้นคว้าวิทยาศาสตร์ทางโลกก็ดี และท่านผู้วิเศษที่เป็นศาสดาจารย์ในทางธรรมทั้งหลายก็ดี ล้วนแต่ผ่านพ้นอุปสรรค ความผิดพลาดนับครั้งไม่ถ้วนมาแล้วด้วยกันทุกท่าน

ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่เตือนใจข้าพเจ้าตลอดว่าจะทำอะไรต้องคิด  ผิดได้แต่อย่าซ้ำซาก  เลอะเทอะได้แต่อย่าบ่อย  แต่บุคคลท่านนี้จริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องของความเห็นที่ไม่สามารถชี้ผิดถูกได้แต่ถ้าดูจากการกระทำหนหลังก็ต้องฟันธงลงไปว่าบุคคลผู้นี้ทำอะไรเลอะเทอะซ้ำซาก  คนผู้นั้นคือ  โมฆบุรุษของคนเสื้อแดง  นายแพทย์ ตุลย์ สิทธิสมวงศ์   ครั้งก่อนครั้งเก่าเขาได้ทำอะไรไว้บ้างข้าพเจ้าไม่พยายามจดจำเพราะจะพยายามทำตัวให้เคยชินกับความประพฤติที่ขัดกับหลักประชาธิปไตยของบุคคลท่านนี้   ในวันนี้หรือเมื่อวานนายแพทย์ผู้มีชื่อคนนี้ได้ไปมอบจดหมายพร้อมเกณฑ์คนไปชูป้ายที่หน้าสถานฑูตญี่ปุ่น   แม้เป็นการยื่นจดหมายประท้วงหรือทวงถามแต่ลักษณะภาพที่ออกมาทางโทรทัศน์นั้นมันดูออกว่าเป็นการกดดัน   เพียงเพื่อจะให้ทางสถานฑูตระงับการออกวีซ่าไม่ให้ทักษิณเข้าประเทศญี่ปุ่น

มันเป็นสิทธิของนายแพทย์ตุลย์หรือไม่  ข้าพเจ้าไม่อาจไปก้าวล่วงแต่ในความรู้สึกของข้าพเจ้าแล้วการกระทำนี้มันช่างเลอะเทอะและเหลวไหลสิ้นดี   เพราะถ้าเราย้อนรฤกชาติลงไปถึงวันที่นายแพทย์ผู้มีชื่อคนนี้ทำตัวเป็นโจรผู้ก่อการร้ายปิดสนามบินสุวรรณภูมิกับเพื่อน ๆ ในเวลานั้นเขาก็เป็นส่วนหนึ่งที่สมรู้ร่วมคิดให้ประเทศไทยมีปัญหากับเพื่อนบ้านอย่างประเทศเขมร  คนกลุ่มหมอตุลย์ในเวลานั้นไม่ใช่เหรอที่พูดเรื่องเขาพระวิหารเป็นตุเป็นตะให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศ   เมื่อก่อกวนจนสมใจแล้วเกิดอะไรขึ้น  ประเทศไทยมีปัญหากับเขมรอย่างเป็นทางการและเรื้อรังต่อมาจนถึงขั้นตั้งอาวุธยิงถล่มกัน  คนบาดเจ็บล้มตายก็มี   แล้วนายแพทย์มีชื่อท่านนี้เคยรับผิดชอบอะไรกับสิ่งที่เขาสมรู้ร่วมคิดปลุกกระแสบ้า ๆ บอ ๆ นี้ขึ้นมาบ้าง  คำขอโทษเสียใจมีบ้างหรือไม่  เราเคยได้ยินเรื่องเหล่านี้หลุดออกจากปากนายตุลย์บ้างไหม   ข้าพเจ้าตอบแทนเลยว่า  ไม่มี

วันนี้การเดินทางไปสถานฑูตของเขาไม่ได้ดีอะไรเกิดขึ้น  ไม่มีความรุนแรง  แต่มันก็เป็นภาพที่สื่อให้เห็นออกไปยังต่างประเทศว่าประเทศเราพร้อมจะมีปัญหากับอีกประเทศหนึ่งแล้ว  และประเทศนั้นก็มีความเป็นอารยะมากกว่าเรา   การอนุญาตให้คนเข้าประเทศหรือไม่มันเป็นกิจการภายในซึ่งเราไม่สามารถไปบังคับให้เขาทำหรือไม่ทำในสิ่งที่เขามีอำนาจการตัดสินใจอยู่   หมอตุลย์อาจไม่เคยเข้าใจว่า  คนอย่าง ทักษิณ ชินวัตร  นั้น  ในประเทศที่เป็นอารยะแล้วเขาจะไม่เห็นว่า ทักษิณ ชินวัตร  เป็นนักโทษคดีร้ายแรงถึงขั้นห้ามเข้าประเทศ   เพราะในประเทศอารยะเขาจะมองถึงเหตุที่มาที่ไป   เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเวลานี้ที่ทักษิณมีข้อหาเป็นนักโทษนั้นมาจากผลพวงของการปฏิวัติรัฐประหาร  

ประเทศไทยประกาศตัวว่าเป็น  ประชาธิปไตย  ดังนั้นจึงไม่ควรมีการปฏิวัติด้วยประการทั้งปวง   นานาชาติไม่ยอมรับ  และนักโทษที่มาจากคำตัดสินของคนที่มาจากการแต่งตั้งของคณะปฏิวัติ  อารยประเทศจะมองว่าเป็นเรื่องทางการเมืองซึ่งมีการกลั่นแกล้งและความไม่เป็นธรรม   นั่นคืออารยประเทศ  มีเพียงคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มเดียวในประเทศไทยเท่านั้นที่ยังไม่ยอมศิวิไลซ์ตามยุคสมัยยังจะมาเอาเป็นเอาตายกับผู้มีความผิดเพราะการเมือง   ดังนั้นการที่หมอตุลย์ไปกดดันสถานฑูตญี่ปุ่นนับว่าเป็นการไป "เสือก" กับกิจการภายในและไปยุ่งยากให้เกิดความรำคาญกับเขาเท่านั้นเอง

ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่า  เหตุใดหมอตุลย์ไม่ควรทำเรื่องที่ควรทำ  อย่างเช่นไปกดดันสถานฑูตเขมรให้ปล่อยตัว  วีระ สมความคิด  เพราะอย่างที่บอกไปว่าครั้งหนึ่งพวกเขาเคยร่วมหัวจมท้ายก่อความวุ่นวายสร้างความร้าวฉานด้วยกันมา   วันนี้เพื่อนผู้ร่วมอุดมการณ์ของเขาติดคุกเขมร  นายแพทย์คนนี้เคยคิดรวมพลไปช่วยมิตรรักสหายเก่าบ้างหรือไม่  ไม่ใช่เอาเวลามายุ่งกับกิจการภายในของประเทศอื่นเขาเช่นนี้   ดังนั้นใครคิดจะเป็นผู้ตามหรือร่วมอุดมการณ์กับหมอตุลย์กรุณาระวังตัวให้ดีนะครับ   ถ้าอยากรู้ว่าสันดานของหมอตุลย์เป็นอย่างไรต่อสู้ร่วมกับเขาแล้วจะมีจุดจบอย่างไร  ดูตัวอย่างที่ นาย วีระ สมความคิด ได้เลย   ถ้าใครอยากประวัติศาสตร์ซ้ำรอยก็ทำ

ข้าพเจ้าเข้าใจดีว่าตัวอย่างที่ยกมามันคนละเรื่องและคนละเงื่อนไขเวลา  เพียงแต่ข้าพเจ้าอยากจะชี้ให้เห็นว่า  นายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์  เป็นเพียง คนส่งจดหมายและเป็นผู้รับเหมาก่อม็อบจัดตั้ง  ไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจในด้านการเมืองการปกครองอีกทั้งเป็นผู้รับเหมาที่ไร้ความรับผิดชอบไม่ติดตามงานอีกต่างหาก   ครั้งหนึ่งกอดคอทวงเขาพระวิหารกับ นาย วีระ  แต่ตอนนี้วีระติดคุกมาจะปีหรือกว่าปี  ยังไม่เคยเห็นหมอตุลย์ไปร่วมแก้ปัญหาอะไรเลย   ไม่เคยแม้แต่โผล่หัวไปยื่นจดหมายกดดันสถานฑูตเขมรให้ปล่อยตัววีระด้วยซ้ำ 

หมอตุลย์ครับ  ข้าพเจ้าไม่อยากถามว่าท่านรับจ้างใครมาหรือจงใจมาป่วนใครเพียงเพราะอารมณ์ขาดสติชั่ววูบ  เพราะมันคือสิทธิของท่านแต่ข้าพเจ้าอยากเรียนถามว่าในขณะที่ท่านออกมาเย้ว ๆ กลางถนนแบบนี้   ท่านกลับไปแก้ไขความคิดอันบิดเบี้ยวของท่านหรือยัง   ในวันนี้ท่านมาสวมบทบาทนักเคลื่อนไหวแต่ท่านจะทำมันได้ดีอย่างในเมื่อขณะที่ท่านสวมบทบาทหมอซึ่งเป็นวิชาชีพของท่าน  ท่านยังทำไม่ได้ดี  ข้าพเจ้ายังจำได้ชัดเจนบนเวทีพันธมิตรตอนนี้พันธมิตรปะทะกับตำรวจแล้วมีตำรวจบาดเจ็บ   ท่านพูดบนเวทีว่า  "หมอมีสิทธ์ที่จะไม่รักษาตำรวจที่ทำร้ายประชาชน"   ข้าพเจ้ายังจำคำพูดของท่านได้ดีนะครับ   หมอไม่มีสิทธิที่จะปฏิเสธการรักษาคน  มันเป็นการกระทำที่ไร้จรรยาบรรณ   เมื่อท่านเป็นหมอแล้วทำหน้าที่ท่านยังไม่ได้ดี  ท่านจะสวมบทบาทในเรื่องที่ท่านไม่มีความรู้ความเข้าใจได้ดีได้อย่างไร  หรือว่าแค่สู่รู้ไปวัน ๆ

และข้าพเจ้าก็นึกว่าเรื่องจะจบแต่เพียงเท่านี้  แต่ข้าพเจ้าก็ผิดหวังเพราะในวันเดียวกันหมอตุลย์ประกาศจะเอาคนเสื้อหลากสีไปบุกทำเนียบวันที่ยี่สิบสามนี้   เพื่อกดดันและคัดค้านรัฐบาลไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญ  การนิรโทษกรรม  และค้านการชดเชยศพผู้เสียสละเก้าสิบเอ็ดศพคนเสื้อแดงรายละสิบล้านบาท  พร้อมทิ้งท้ายว่า 

"การที่ประเทศได้พรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาล เป็นเรื่องเฮงซวยตามคาด ผมไม่รู้สึกแปลกใจเลย กับการเคลื่อนไหวทุกอย่าง รัฐบาลทำไปผลประโยชน์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งนั้น”

หมอตุลย์ครับ  คุณบ้าหรือคุณประสาทเสียในนโยบายของที่จะแถลงต่อสภามันมีเรื่องที่ท่านพูดหรือเปล่าครับ  พนันกันตัดหัวคนละทีไหมว่าแม้ยิ่งลักษณ์อยากจะทำแค่ไหนแต่ก็คงไม่ทำและไม่ทำในตอนนี้   บางเรื่องก็เป็นแค่แนวคิดยังไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอัน  คุณจะต่อต้านเอาคนไปขวางทางการจราจรให้เปลืองออกซิเจนในอากาศทำไมล่ะครับ   ข้าพเจ้าข้องใจนักว่าทำไมหมอตุลย์คัดค้านไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญที่มาจากมือโจร  หมอตุลย์ยินดีรับของโจรแต่บอกว่าตัวเองเป็นประชาธิปไตย  ก็แปลกดี...   แต่ก็อีกแหล่ะข้าพเจ้าไม่แปลกใจที่หมอตุลย์ทำสิ่งเหล่านี้เพราะหมอตุลย์สนิทสนมกับพวกเผด็จการนิยมอำมาตย์เลยตีความคำว่าประชาธิปไตยในอีกแบบหนึ่งและผิดจากหลักสากล   ดูจากเหตุการณ์เตรียมการบุกสภารอบนี้ก็พออ่านได้แล้วล่ะว่าหมอมีชื่อคนนี้เป็นเผด็จการเพียงใด   แค่สิ่งที่เขาคิดหมอตุลย์ยังออกมาห้ามและบังคับไม่ให้คิด  ก็พอจะรู้นะครับว่านายแพทย์คนนี้เป็นคนอย่างไรและสุดท้ายแล้วคุณหมอพอจะทราบไหมครับว่าการที่คุณด่าคนอื่นว่าเฮงซวย  ทำแต่เรื่องเฮงซวยนั้นแท้จริงแล้วเป็นใคร

คุณหมอรู้ไหมว่าคุณหมอเหมาะกับคำว่า  เฮงซวย  แค่ไหน   ทุกวันนี้แค่เปิดทีวีแล้วเห็นหน้าคุณหมอไม่ต้องได้ยินคำพูดของคุณหมอนะครับ  คนเขาก็เอาเท้าทาบหน้าท่านแล้วด่าท่านว่า  ไอ้เฮงซวย แล้วล่ะ

ถามจริงเถอะครับคุณหมอ  เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวรกโลกถ่วงความเจริญประเทศ  และเมื่อไหร่จะเลิกทำตัวเฮงซวยซ้ำ ๆ ซากเสียที   คุณหมอไม่เบื่อแต่พวกข้าพเจ้าเซ็งและเหม็นขี้หน้าคุณหมอมากนะครับ 

คุณหมอครับ  วันเกิดปีนี้ข้าพเจ้าจะส่งของขวัญวันเกิดให้คุณหมอ  มันไม่มีราคาค่างวดอะไรหรอกครับเป็นเพียงพจนานุกรมเล่มหนึ่ง  ข้าพเจ้าเจตนาซื้อเพื่อให้คุณหมอเปิดดูคำว่า  สาระ  และ  ประโยชน์  ว่ามันสะกดอย่างไร  เพราะดูเหมือนว่าทั้งชีวิตของคุณหมอจะสะกดสองคำนี้ไม่เป็น

สวัสดี



คนให้ท้าย






บทความนี้เป็นรอบที่สามที่ข้าพเจ้าได้เขียนเกี่ยวกับชายในประวัติศาสตร์ที่มีนามว่า เหอเซิน  และวันนี้ก็คงจะเขียนอีกและก็คงจะเป็นทีสุดท้ายที่ข้าพเจ้าจะเขียนถึงชายผู้นี้และฉบับนี้น่าจะเป็นฉบับที่มีครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่ข้าพเจ้าจะทำได้

ไม่มีคนสนใจประวัติศาสตร์จีนคนไหนในโลกนี้จะไม่รู้จักชายที่ชื่อว่า  เหอเซิน  ชายผู้ถูกจัดอันดับให้เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกห้าสิบอันดับในรอบพันปี   เขาผู้นี้เริ่มต้นชีวิตราชการด้วยการเป็นมหาดเล็กตำแหน่งน้อย ๆ เท่าที่สืบค้นหาความได้เห็นเขาว่ากันว่าเป็นเพียงคนหามเกี้ยว  บางตำราก็อวดอ้างว่าเป็นขันที  บ้างก็ว่าเป็นขันทีที่ตอนไม่เกลี้ยงเกลา  ดังนั้นข้าพเจ้าจะยึดเอาไว้แต่ข้อมูลที่ปรากฏว่า เหอเซิน เป็นมหาดเล็ก   จะว่าไปแล้วคนที่เริ่มต้นด้วยตำแหน่งเล็ก ๆ แค่นี้ไม่น่าจะก้าวถึงอันดับเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกในรอบหนึ่งปีได้เลย   และก็จะยิ่งตกใจที่สืบค้นเข้าไปพบว่า  คนอย่าง  เหอเซิน  เป็นที่เรียกว่า  ความชั่วมีความดีไม่ปรากฏ  แต่กระนั้นในรัชสมัยของจักรพรรดิเฉียนหลงแห่งราชวงศ์แมนจู  เขาก็ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี  อยู่ใต้หนึ่งคนแต่เหนือคนทั้งหล้า

มีคำหนึ่งที่เป็นคำคมของ  เหอเซิน  เขาได้พูดกับ ฟุคังอัน ราชโอรสลับของเฉียนหลงว่า  "ท่านจะหาญกล้าก่อการกบฏทำ  ในเมื่อทุกวันนี้เราแบกฮ่องเต้เพียงคนเดียวก็อยู่ดีมีสุข  แต่คนที่เป็นฮ่องเต้นั้นต้องแบกทั้งประเทศ"   เป็นคำพูดที่ฟังแล้วก็คิดได้ว่าคน ๆ นี้ถ้าไม่เป็นคนที่ฉลาดล้ำก็เป็นคนโลภที่รู้จักพอเพียง

ในยุคสมัยของเฉียนหลงฮ่องเต้เป็นยุคที่บ้านเมืองเจริญถึงขีดสุด  แม้จะมีการกบฏประปรายแต่โดยรวมแล้วถือว่าประเทศนั้นสงบร่มเย็น   แต่ในแวดวงราชการจะรู้กันดีว่าไม่เคยมีความสงบเกิดขึ้นเพราะคนชื่อ  เหอเซิน  เหอเซินหลังจากได้พบกับองค์เฉียนหลงแล้วเขาก็ได้รับการโปรดปรานไว้วางพระราชหฤทัยมิใช่ว่าทำงานเก่งแต่เป็นคนที่รู้จักเอาใจคน  รู้ว่าฮ่องเต้องค์นี้ชอบเสเพลก็พาลัดเลาะไปเที่ยวซ่องนางโลม  ตามติดพระองค์ท่านผจญภัยไปในที่ต่าง ๆ พาฮ่องเต้ไปท่องเที่ยวและเด็ดดอกไม้แห่งเมืองหยังโจว   เพราะเริ่มต้นจากการช่างซอกแซกก็ทำให้เหอเซินได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยค่อย ๆ เลื่อนลำดับและเจริญเติบโตขึ้นมา  แม้ในยุคเฉียนหลงนั้นจะมีการรับเข้าราชการด้วยการสอบจอหงวนเป็นหลักแต่สุดท้ายแล้วคนที่ได้ดีก็คือคนที่ไร้การศึกษาใด ๆ อย่างเหอเซิน

จากคนหามเกี้ยวก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญต่าง ๆ จากตำแหน่งสำคัญเข้าควบคุมกรมกองต่าง ๆ ในยุคนั้นทุกคนรู้กันดีว่าอยากได้ดีต้องเป็นพวกของเหอเซิน   แม้จะมีอำนาจอยู่ในมือแต่เหอเซินก็ไม่เคยลดละความโลภเขาได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการฉ้อราษฏร์บังหลวง  ไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้างตำหนักใหม่ ๆ หรืออุทยานต่าง ๆ ในยุคนั้น  เหอเซินเป็นคนจัดการทั้งสิ้นแต่ที่เห็นเป็นกอบเป็นกำที่สุดก็คือการจำลองเมืองหยังโจวมาไว้ในนครหลวงปักกิ่ง  ไม่เพียงแต่แค่นั้นเขาก็ยังรับสินบนและซื้อขายตำแหน่ง   ไม่ว่าใครอยากจะได้ตำแหน่งอะไรที่ราชสำนักเปิดรับเพียงเอาเงินไปให้เหอเซินก็จะได้เข้างานในทันที  

สิ่งนี้ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงในเมืองไทยล่ะเพราะมีคนหนึ่งในเมืองไทยเหมือนกันที่คล้าย ๆ เหอเซิน  แม้ขนาดได้เป็นนายกรัฐมนตรีมีอำนาจเต็มในการปกครองประเทศแต่ก็ยังต้องขอเข้าพบบุคคลท่านนี้  ทายสิใครเอ่ย...

กลับมาที่เหอเซินเพราะจุดประสงค์อยู่ที่คน ๆ นี้  จากสิ่งที่เขาทำทำให้เขาได้รับผลประโยชน์อย่างมากมาย   เป็นที่รู้กันทั่วทั้งประเทศในยุคนั้นว่าคนที่ร่ำรวยและทรงอำนาจที่สุดก็คือคน ๆ นี้   ดังนั้นก็มีหลายคนที่อยากกำจัดเขาออกไปเพื่อไม่ให้เป็นปลวกคอยกัดกินประเทศ   แต่ผลที่คนเหล่านั้นได้รับคือการตอบโต้อย่างเจ็บแสบโหดร้ายและบางครั้งก็ถูกกวาดล้างถึงกับชีวิตเลยก็มี  ดังนั้นจึงมีคนมากมายที่รังเกียจชื่อนี้เข้าไส้   เหอเซินถูกฟ้องร้องเรียนนับครั้งไม่ถ้วนและการฟ้องร้องแต่ละครั้งนั้นก็มีหลักฐานเด่นชัดพอที่จะเอาผิดได้   แต่เหอเซินก็รอดมาได้ทุกครั้งและหลายหนที่องค์จักรพรรดิเองออกปากปกป้องกังฉินผู้ลือนามคนนี้   ไม่ว่าความผิดจะเป็นสถานใดเฉียนหลงก็ทำได้แต่ให้คนที่เป็นตัวเล็ก ๆ รับโทษไม่เคยให้เหอเซินต้องได้รับเลยแม้สักครั้งเดียว  ข้าพเจ้าอ่านเองก็ไม่เข้าใจเองเพราะเนื่องจากว่าคนจีนยกย่องกษัตริย์เฉียนหลงกันนักว่าเก่งว่าฉลาดเป็นนักปกครองที่ดีแต่เหตุใดถึงเอากังฉินเช่นเหอเซินไว้ข้างตัว

ข้าพเจ้าเคยตั้งข้อสันนิษฐานที่ไม่มีในตำราว่าเพราะเหอเซินเป็นคนสนิทที่รู้ใจและซุกซนมาด้วยกัน  อยู่ด้วยกันมานานเลยเมตตาสงสาร  แต่คนเราถ้าผิดหนึ่งครั้งสองครั้งยังพออภัยแล้วเหตุใดถึงให้อภัยเหอเซินชนิดที่นับครั้งไม่ได้เช่นนี้   ดังนั้นข้อสันนิษฐานที่สองก็ตามมาโดยพลันเพราะเหอเซินเป็นคนที่ล่วงรู้ความรับหลายอย่างขององค์เฉียนหลง   เนื่องจากเป็นคนสนิทและรู้เห็นการออกท่องเที่ยงการชอบเที่ยวเจ้าสำราญดังนั้นก็ต้องมีเรื่องลับเรื่องปกปิดมากมายที่ซุกซ่อนเอาไว้   แม้มีสองข้อสันนิษฐานอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่สุดแต่ข้อมูลที่มีมาก็เพิ่มเป็นข้อสันนิษฐานเพิ่มขึ้นมาอีก  ข้อสันนิษฐานนี้ถือเป็นข้อสันนิษฐานที่ค่อนข้างลี้ลับพอสมควรแต่ก็เป็นข้อสันนิษฐานที่คนจีนกล่าวขวัญกัน  ข้อสันนิษฐานนี้คงไม่ใช่จะกล่าวว่าเป็นข้อสันนิษฐานได้เต็มปากเพราะที่ถูกต้องแล้วควรเรียกว่า  ตำนานลี้ลับของจักรพรรดิเฉียนหลง  

ตำนานนั้นมีอยู่ว่า  สมัยที่จักรพรรดิเฉียนหลงเป็นวัยรุ่นนั้นชอบไปเล่นหัวกับเหล่านางใน  แล้วมีอยู่วันหนึ่งก็ไปหยอกนางในคนหนึ่งให้ตกใจบังเอิญนางในคนนั้นถือของหนักอยู่พอตกใจก็หันเอาของมากระแทกที่หัวขององค์ชายผู้ซุกซนจนเหลืออาบเป็นแผล   พอเสด็จแม่ขององค์ชายนั้นได้เห็นเข้าก็ไปสืบหาความจริงแล้วลงโทษนางในคนนั้นให้ตายอย่างเหี้ยมโหด  พอองค์ชายทรงไปเจอเข้าก็เกิดฉากดราม่ากอดศพนางในร้องห่มร้องไห้ก่อนจะกัดนิ้วและเอาเลือดแต้มที่ไหปลาร้าของนางในคนนั้น   (ทำไมไม่เอาเลือดที่ไหลออกจากหัวแต้ม  กัดนิ้วให้เจ็บเพิ่มทำไม  ข้าพเจ้าสงสัย)  แล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า  "เกิดมาชาติใดถ้าข้าได้เจอเจ้าจะชดใช้ให้ถึงขนาด"  ถามว่าถ้าเรื่องราวเป็นแบบนี้จะพอเป็นไปได้ไหม  ก็ต้องตอบอย่างคนไทยว่ามันเป็นไปได้และน่าแปลกที่คนไทยกับจีนมีตำนานเรื่องแบบนี้เหมือนกัน






ไม่ต้องอื่นใด  แม้แต่เกจิอาจารย์โบราณของไทยเทพเจ้าแห่งเมืองสี่แควหรือหลวงพ่อเดิมแห่งวัดหนองโพก็มีตำนานคล้าย ๆ แบบนี้  คือทำตำหนิไว้ตอนตายแล้วเกิดมาพบตำหนิ  (ส่วนปลีกย่อยก็ต่างกันไปตามส่วน)  ซึ่งถ้าคนไทยเชื่อเรื่องเช่นนี้ดังนั้นเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมืองจีนมีเรื่องทำนองนี้เช่นเดียวกัน  ตามข้อมูลนี้เชื่อว่าเหอเซินมีปานแดงที่ไหปลาร้าและมีหน้าตาละม้ายคล้ายนางในคนนั้นเฉียนหลงจึงเชื่อและตั้งใจที่จะตอบแทนทุกอย่างเพื่อชดเชยความผิดที่เคยทำลงไป    ถ้าเราเชื่อตามนี้ก็จะตอบโจทย์ได้ทั้งหมดว่าจอมราชันย์อย่างเฉียนหลงถึงปล่อยปละละเลยในการเอาผิดเหอเซินและปล่อยให้เหอเซินกระทำการบังอาจต่อไป

แต่ในโลกนี้มันเต็มไปด้วยปริศนาสิ่งใดที่ผู้มีอำนาจต้องการปกปิดก็จะดึงเรื่องทั้งหมดเข้าสู่เรื่องลี้ล้บ  อย่างเรื่องเฉียนหลงฮ่องเต้นั้นข้าพเจ้าไม่เชื่อเรื่องตำนานสิ่งนี้เพราะข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าคนเราจะมีน้ำอดน้ำทนและให้อภัยกันหลายหนมากถึงขนาดนั้น  คนเราจะมานั่งชดใช้ทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายความเลวประจักษ์ไปทั้งสามภพนั้นก็คงจะกระไรอยู่  ข้าพเจ้าจึงเชื่อว่าเป็นเพราะสองคนนี้สนิทกันและอีกฝ่ายนั้นรู้ความลับอะไรไว้มากมาย  เพราะถ้ามุ่งร้ายหรือฆ่าทิ้งความลับที่ไม่พึงประสงค์ก็จะหลุดรอดออกไป

แต่โลกนี้ยังมีกฏแห่งกรรม  แม้เหอเซินจะรีดนาทาเร้นและทำเลวทำชั่วมาตลอดโดยมีฮ่องเต้ทรงป้องปกแต่ฮ่องเต้ก็ไม่อยู่ค้ำฟ้าท่านชิงสวรรคตและปล่อยให้เหอเซินต้องเผชิญหน้ากับเจี่ยชิงฮ่องเต้ที่ไม่พอใจเหอเซินตั้งแต่เป็นองค์รัชทายาท  และเป็นที่มาของสำนวน  "เหอเซินล้มกลิ้ง เจี่ยชิงอิ่มท้อง"  มันเป็นภาษิตจีนแต่ข้าพเจ้าจนปัญญาจะพิมพ์คำจีนให้อ่านเลยเอาแต่ที่แปลเป็นไทยแล้วมาให้ได้อ่านกัน   เจี่ยชิงลงโทษและริบทรัพย์สินทั้งหมดของเหอเซิน   แค่ตัวเงินอย่างเดียวนั้นมีเกือบหนึ่งพันล้านตำลึง  (ซึ่งไม่มีใครกล้าสันนิษฐานลงไปว่าเงินหรือทอง)   แต่แค่เงินจำนวนนี้ก็ทำให้ประวัติศาสตร์บันทึกว่า  เหอเซินเป็นหนึ่งในห้าสิบบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในรอบพันปี   และในยุคศตวรรษที่สิบแปด  เหอเซินเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลก  ซึ่งจำนวนเงินที่ว่าไปนั้นไม่รวมทรัพย์สินต่าง ๆ ที่ล้วนแต่มีค่าและยาวเหยียดเป็นหางว่าว  ข้าพเจ้าคาดว่าถ้าเขียนรายละเอียดลงไปถึงรายการสมบัติของเหอเซินคงมีความยาวตั้งแต่กรุงเทพจรดนราธิวาสเลยทีเดียว

ดังนั้นเราจะเห็นว่าจริง ๆ แล้วเหอเซินไม่ใช่คนฉลาดหลักแหลมอันใดแม้หลายคนจะถือว่าเหอเซินฉลาดในการทุจริต  แต่ถ้าอ่านกันลงไปจริง ๆ จะเห็นว่าทุกอย่างที่ผ่านมาที่ทำให้เหอเซินรอดตัวนั้นก็เพราะมีคนให้ท้ายและคนให้ท้ายก็ไม่ได้สำเหนียกว่าคนที่เขาให้ท้ายไปมันเลวทรามอย่างไรกับแผ่นดิน   ก็ไม่ต่างจากเมืองไทย  เพียงแต่เหอเซินเมืองไทยยังไม่ตายเลยไม่มีใครรู้ว่าเขามีทรัพย์สินเท่าไหร่แต่ที่เห็นชัดคือ  ใครอยากได้อะไรอยากเป็นนายกรัฐมนตรีโดยไม่มีการรัฐประหารก็ต้องเข้าพบและพูดคุยกับเหอเซินคนนี้  เหอเซินอาจต้องฉ้อฉลถึงจะได้เงินแต่เหอเซินเมืองไทยแค่เสกก็เรียกเงินทองมากมายมาวางเท่าหน้าแข้ง  แม้ไปกู้เงินมาให้ชู้รักทำกิจการเจ๊งไม่เป็นท่าเหอเซินเมืองไทยก็ยังทำได้  เราไม่ต้องพูดถึงความโหดเหี้ยมของเหอเซินเมืองไทยแต่เรารู้ดีว่าเขาเป็นเช่นไรและเลวร้ายแค่ไหน    แต่ความเลวของเขาก็ต้องพูดปกปิดและห้ามพูดถึงในวงกว้างเพราะรู้กันดีว่าเหอเซินเมืองไทยมีคนให้ท้าย 

ข้าพเจ้ามิพักต้องเอ่ยถามและตั้งข้อสันนิษฐานว่าเหตุใดคนให้ท้ายเหอเซินถึงยอมให้เหอเซินเมืองไทยทำระยำตำบอน  แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่ามันก็คงมีเหตุผลไม่ต่างกัน   เพียงแต่จะเป็นข้อสันนิษฐานข้อไหนเท่านั้นเอง ข้อสันนิษฐานที่หนึ่งรักมากสนิทมากเลยให้ท้าย  ข้อสันนิษฐานที่สองเพราะกำความลับบางอย่างเอาไว้จึงต้องดูแลกันและกัน  ข้อสันนิษฐานที่สามหรือว่าข้าใครตายแล้วเอาเลือดแต้มทำตำหนิไว้พอเกิดมาอีกชาติจึงชดใช้กัน  แต่ด้วยอายุของเหอเซินเมืองไทยกับคนให้ท้ายไม่ห่างกันจึงต้องตัดข้อที่สามทิ้งไปคงเหลือแต่ข้อที่หนึ่งและสอง  ท่านเลือกจะเชื่อข้อไหน  ส่วนข้าพเจ้า...

ไม่บอกปล่อยให้งง  แบร่...

 

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554

หากินคนเดียว สุขสบายไปทั้งโคตร



 เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าคิดมานานว่าจะเขียนดีไหม  อย่างไร...


แต่สุดท้ายก็ต้องเขียนออกมาเพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าเคยรู้สึกมันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาทุกวัน  ข้าพเจ้าเคยพูดว่าประเทศไทยนั้นเดินตามรอยตามหลังประเทศจีนอยู่ถึงช่วงสองร้อยถึงสามร้อยปี   ไทยเราตามทั้งรูปแบบความเจริญและรูปแบบของเหตุการณ์  อย่างที่เคยเสนอไปหลายครั้งแล้วก็จะมี  เหอเซิน อำมาตย์เลวบุคคลยอดชั่วในสามโลก   และวันนี้ข่าวที่นำเสนออยู่ทุกวันก็ทำให้ข้าพเจ้าต้องย้อนคิดถึงเรื่องที่เคยคิดไว้อีกหน   เวลานี้นอกจากเรื่องการลักลอบขายสุนัขแล้วเรื่องที่โด่งดังไม่แพ้กันก็คือเรื่องการบุกรุกเขตป่าวังน้ำเขียว  เรื่องที่ดินเขตป่าวังน้ำเขียวนั้นมันเป็นเรื่องที่ว่าด้วย สปก.  เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการให้ชาวไร่ชาวนาไปบุกเบิกหาที่ทำกินกันทางการเกษตร  แต่ปรัตยุบันที่เป็นเรื่องออกมานั้นก็เพราะว่า  มีคนเอาที่ทำการเกษตรไปเป็นที่บำรุงบำเรอความสุขแห่งตน


มิพักต้องเอ่ยพูดให้มากความว่า  ที่เหล่านั้นใครเป็นเจ้าของ  เพราะดูเหมือนว่าจะมีขององคมนตรีและผู้ยิ่งหญ่ายในแผ่นดินอยู่หลากหลายคน


แต่เมื่อหลายร้อยปีก่อนนั้นก็มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแล้วในแผ่นดินจีน  รูปลักษณะของเนื้อเรื่องคล้าย ๆ กัน  เหตุการณ์นี้เกิดในรัชสมัยของจักรพรรดิคังซีแห่งราชวงศ์ชิง   หรือเมื่อสามร้อยกว่าปีของประเทศไทย   ตอนนั้นมีขุนนางที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่อยู่คนหนึ่งมีนามกรว่า อ้าวไป่ บุคคลผู้นี้เป็นขุนนางสามสมัยที่มีบทบาทมาตั้งแต่ ฮวงไทจี๋  ซุนจื่อ  และ คังซี  เขาเป็นนักรบที่ทแกล้วกล้าแต่มีความโลภและยโสจองหองมีทั้งยังกำเริบเสิบสาน   ด้วยสมัยก่อนระบบการปกครองของราชวงศ์แมนจูนั้นก็เป็นไปในลักษณะกองธงและกองธงแต่ละกองธงจะมีที่ดินเป็นของตัวเอง   เมื่อกองทัพเติบใหญ่ที่ดินที่มีที่ใช้ทำมาหากินปลูกข้าวก็แคบลงแคบลง  อ้าวไป่ ก็เลยทูลขอพระราชานุญาตจากองค์จักรพรรดิ
แต่สิ่งที่เขาทูลขอนั้นเป็นเรื่องของการปักเขตแดนซึ่งมิใช่ให้แต่คนในกองทัพธงต่าง ๆ มีสิทธ์  แต่ยังให้ประชาชนธรรมดาได้มีสิทธ์ในที่ดินที่ปักปันอีกด้วย   ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีเพราะยามนั้นมีประชาชนมากมายที่ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเองในยามนั้นจักรพรรดิคังซีไม่ได้มีความเห็นด้วยกับหลักการณ์นี้เลยแม้แต่เพียงนิดเดียวเพราะพระองค์ทรงคิดอยู่ลึก ๆ ในใจว่าเมื่อโครงการนี้เป็นรูปร่าง  คนและชาวบ้านเหล่านั้นก็จะไม่ได้ประโยชน์กับโครงการ  พระองค์ทรงเล็งเห็นว่าที่ดินเหล่านั้นจะตกไปอยู่กับกลุ่มขุนนางเพียงกลุ่มเดียวเช่นเคย   แม้ท่านคัดค้านแต่ตอนนั้นอำนาจของอ้าวไป่ในราชสำนักนั้นมากกว่ามาก   เขาไม่แม้แต่จะปลดอาวุธยามเข้าเฝ้าแม้เข้าเฝ้าก็ไม่ยอมคุกเข่า   คังซีจึงยอมทำตามแบบไม่เต็มใจ


รู้สึกไหมว่า  เหตุการณ์ปักปันที่ดินกับเหตุการณ์ สปก. ในบ้านเราคล้ายคลึงกันเหลือเกิน  ทั้งรูปแบบและวิธี 


และสิ่งที่คังซีคิดก็เกิดขึ้นจริง ๆ และเกิดขึ้นอย่างชนิดที่เรียกว่าเป็นโศกนาฏกรรมวังหลวง   เพราะต้องมีขุนนางดี ๆ ล้มหายตายจากเพราะเหตุการณ์นี้มากมาย   ที่สำคัญคือชาวนาก็ไร้ที่ทำกินอยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ กันต่อไป   แต่ตอนจบเรื่องปักปันก็จบแบบโดยดี  มีการยกเลิกเพิกถอนและให้ชาวนาได้กลับมาปักเขตกันทำกิน   ข้าพเจ้าจะคอยดูเมืองไทยอย่างใจจดจ่อ


แต่เรื่องที่ข้าพเจ้าอยากเล่าและเขียนมันยังไม่จบเพียงเท่านี้   เพราะมันยังมีเรื่องความคล้ายคลึงบางอย่างกับประเทศไทย   แม้ชาวแมนจูจะเข้ามาบุกรุกเมืองหลวงแต่ก็เรียกว่าไม่มั่นคงนักเพราะเหตุว่ายังต้องอาศัยจมูกชาวฮั่นหายใจอย่างที่ปรากฏเป็นเหตุการณ์สามฮวน  หรือสามนครรัฐปกครองตัวเอง   คนแมนจูนอกจากรบกับล่าสัตว์หาเห็ดแล้วก็ทำอะไรไม่ค่อยจะเป็นกับเขา   ดังนั้นชีวิตความเป็นอยู่ก็จึงเป็นไปแบบแกน ๆ และได้แต่อาศัยปล้นสะดมภ์ไปวัน ๆ แต่พอในรัชสมัยคังซีนี้นับว่าเป็นบุญของราชวงศ์แมนจูและชาวจีน  เพราะคังซีนับว่าเป็นกษัตริย์นักพัฒนา 


ท่านไม่สามารถทุกเรื่องแต่พร้อมจะพัฒนาทุกเรื่องและเรียนรู้ทุกอย่าง   ไม่มีใครเขียนคำชมเชยบุคคลนี้ไว้มากมายนัก  ไม่มีใครแต่งเพลงสรรเสริญ  ไม่มีใครสร้างเหรียญและไม่มีใครมีที่รฤกถุงพระราชทานของคังซี   แต่ถ้าเราเจาะลึกลงไปจะเห็นว่าในรัชสมัยของคังซีฮ่องเต้นับว่าเป็นยุคทองยุคหนึ่งของแผ่นดินจีน   ไม่ว่าจะด้านการค้าหรือการขยายดินแดน  ความสัมพันธ์ทางการฑูต  และที่สำคัญที่สุดคือการประยุกต์   ทุกสิ่งทุกอย่างที่คังซีรับเข้ามาจากต่างแดนพระองค์จะประยุกต์จนออกมาในรูปแบบของจีนแล้วดำเนินการให้เจริญยิ่ง


ไม่ว่าจะระบบเศรษฐกิจ  การค้า  การทำนา  การปลูกพืช  ปศุสัตว์  อีกทั้งวัฒนธรรมของตะวันตกคังซีก็เอามาผสมผสานกับวัฒนธรรมจีนได้อย่างแนบเนียน  แต่ที่โดดเด่นเหนือใครคือ  ปืนใหญ่เสียนอู่อันลือนาม   คังซีโปรดปรานการทหารและเห็นว่าถ้ามัวแต่สั่งซื้อปืนใหญ่จากตะวันตกก็จะไม่บังเกิดประโยชน์อะไรท่านจึงให้บาทหลวงที่รู้เรื่องนี้เข้ามาพัฒนาการหล่อปืนใหญ่อย่างเป็นรูปร่างและให้ความสำคัญกับบาทหลวงท่านนี้ทั้ง ๆ ที่แต่ไรมา  ประเทศจีนไม่เคยเปิดใจรับวัฒนธรรมตะวันตกโดยเฉพาะการเผยแพร่ศาสนา   ปืนใหญ่เสียนอู่ของคังซี  ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นด้วยตาแต่รู้มาแค่เพียงว่ามีขนาดเล็กและยิงได้บ่อยครั้งกว่าปืนใหญ่ของตะวันตกในยุคนั้น   ไม่ต้องราดน้ำบ่อย ๆ ทุกครั้งเหมือนอย่างที่เราเคยทราบกัน  ปืนใหญ่ธรรมดายิงทีต้องราดน้ำทีเพื่อให้ลำปืนเย็นลง   แต่ปืนใหญ่เสียนอู่ยิงได้ติดต่อถึงห้าหกครั้งถึงจะราดน้ำ   นี่นับว่าเป็นปรีชาสามารถของคังซีโดยแท้ที่ริจะปฏิวัติปืนใหญ่ที่ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองถนัด   ความเกรียงไกรของกองปืนใหญ่กองนี้โด่งดังไปถึงรัสเซียที่นับว่าเป็นมหาอำนาจของโลกในยุคนั้น   จากการประลองฝีมือกันตามแนวชายแดนหลายหน   สุดท้ายรัสเซียต้องขอยอมสงบสงครามกับจีน   นับว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของคังซี


จะเห็นได้ว่าในยุคคังซีนี้แผ่นดินจีนเกรียงไกร   และถ้ามีผู้สานต่อดี ๆ จีนคงเป็นมหาอำนาจของโลกและเกรียงไกรในปรัตยุบันกว่าที่เห็นทุกวันนี้มากนัก   ในราชวงศ์แมนจูจริงอยู่ว่ามียุคทองถึงสามช่วง  คือ  คังซี  หย่งเจิ้น และ เฉียนหลง  แต่ถ้าเรามองดูอย่างถ่องแท้จะเห็นว่า  รากฐานของสามยุคนั้นมาจากการทำงานของคังซีเพียงคนเดียว   เพราะตั้งแต่จากจบยุคคังซีความเจริญก็เหมือนจะคงที่และชะลอตัว   ในยุคหย่งเจิ้นเป็นยุคที่จัดระเบียบในประเทศให้ประเทศมีระบบ  ยุคเฉียนหลงที่ใครมองว่าเจริญแต่ในสายตาของข้าพเจ้ากลับมองว่าเป็นยุคเริ่มต้นแห่งความหายนะ   เพราะเฉียนหลงนั้นฟุ่มเฟือยด้วยการสร้างวัง  ฟุ้งเฟ้อ  เจอสาวเผ่าไหนแล้วรักแล้วชอบก็ไปเอามาแล้วสร้างวังให้โดยที่วังนั้นเหมือนกับจำลองบรรยากาศในเผ่าเหล่านั้นมาเลย  ยุคนั้นจึงเป็นยุคที่เต็มไปด้วยวัง   และที่เป็นที่กล่าวขานที่สุดคือ  อุทยานหยวนหมิงหยวน  ปรัตยุบันนี้อุทยานนี้ราบเป็นหน้ากลองไปแล้วคงเหลือแต่เศษซาก  แต่ในยุคนั้นอุทยานนี้นับว่าสวยงามที่สุด  ซึ่งคนจีนโม้กันว่าเป็นอุทยานที่ยิ่งใหญ่และสวยที่สุดในโลก  ในยุคเฉียนหลงเป็นยุคที่ประเทศชาติดูเหมือนเจริญสูงสุด  แต่แท้แล้วเป็นยุคผลาญเงินท้องพระคลังมากที่สุดและที่สำคัญเหนืออื่นใดคือเป็นยุคที่จีนต้องปิดประเทศอีกหน   เฉียนหลงเชื่อเสมอว่าจีนเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมีวิวัฒนาการอารยธรรมเหนือใคร  จึงปิดประเทศและกักขังตัวเองอยู่ในโลกแห่งความหลงตัวเอง
และจากสิ้นเฉียนหลงมา   ปัญหาก็เกิดตามทันที  กบฏบัวขาว  กบฏต่าง ๆ นานา ๆ เกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า   ผู้เป็นลูกก็ไม่ใช่คนเก่งกาจแถมท้องพระคลังไม่ได้มีงบหลงเหลือมากมาย  ประเทศจึงอ่อนแอและอ่อนแอ  ก่อนจะจบลงอย่างหายนะอย่างที่เราได้เห็นกัน


สิ่งที่เหมือนคือ  ประเทศไทยเราก็เป็นเช่นนั้น   เพราะในประเทศเรานั้นข้าพเจ้าก็มองว่ากษัตริย์ที่เก่งกาจทรงงานจนตัวเป็นเกลียวเห็นจะมีแต่รัชกาลที่สามเพียงองค์เดียว   ในยุคนั้นไทยเป็นเจ้าสัวและเป็นมิตรกับต่างชาติ   แต่รัชกาลที่สามก็ไม่ทรงประมาทให้จดจำวิทยาการแต่อย่าเอาเยี่ยงอย่างมันไปเสียหมด   พระองค์มีเงินทองเก็บไว้มากมายอีกทั้งกองทัพก็แข็งแกร่ง  ศิลปวัฒนธรรมก็รุ่งเรือง   มีแบบศิลปะแห่งรัชกาลเกิดขึ้นมากมาย  ท่านประยุกต์งานศิลปะจีนเข้ากับไทยได้อย่างแนบเนียน   คงไม่ผิดนักถ้าจะกล่าวว่า  ในรัชกาลที่สามเปรียบได้กับคังซีแห่งราชวงศ์แมนจู


พอมารัชกาลที่สี่  บ้านเมืองก็ทรงตัวและเหมือนหยุดชะงักเพราะรัชกาลที่สี่ไม่ได้มีความจัดเจนในการหาเงินเข้าท้องพระคลัง  อีกทั้งวุ่นวายกับด้านสงฆ์และวุ่นวายกับการขยายแพร่เชื้อพระโลหิตให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  ดังนั้นกิจการที่รัชกาลที่สามทรงทิ้งไว้จึงไม่มีการสานต่ออย่างดี  จากที่รัชกาลที่สามทรงประยุกต์ให้วัฒนธรรมหรือสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามาเป็นของไทย  แต่รัชกาลที่สี่กลับปล่อยผ่านให้ฝรั่งเป็นฝรั่งในบ้านเราโดยมิได้ผ่านการขัดเกลาหรือปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด


พอมายุครัชกาลที่ห้า  ยุคที่คนเชื่อว่าเจริญที่สุด   แต่ข้าพเจ้ากลับมองว่าไม่ต่างอะไรกับเฉียนหลงคือเป็นยุคที่เต็มอิ่มกับสิ่งที่รัชกาลที่สามได้ทำมาแถมยังเอาเงินรัชกาลที่สามไปใช้  มีวังมากมายผุดขึ้นราวดอกเห็ด   มีวัดมากมายสร้างขึ้นอย่างหรูหราเกินจำเป็น   และเป็นยุคที่ความสัมพันธ์กับต่างประเทศเหมือนจะดี   แต่ผลที่ออกมาเป็นยุคที่ประเทศไทยเราถูกต่างชาติย่ำยีมากที่สุด   ดินแดนที่กว้างขวางก็ต้องหดลง ๆ จนแทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าถ้ามองจากกูเกิ้ลเอิร์ธ 


แต่ทุกอย่างก็ทรงตัวและทรุดตัวมาเรื่อย ๆ ต่อไป  แต่เราจะเห็นได้ชัดว่า  ทั้งสองประเทศนั้นข้าพเจ้ายกตัวอย่างมาให้ดูว่าเพียงเพราะมีกษัตริย์ที่เก่งเพียงคนเดียว  ทำงานจริง  ก็สามารถทำให้บ้านเมืองยั่งยืนสถาพรได้อีกยาวนาน   เพียงแต่ว่าเมืองจีนนั้นเขามองกษัตริย์ในวังหลวงเป็นคนต่างชาติและฟุ่มเฟือยจึงไล่ออกจากวังไป   เพราะอยู่ไปสิ้นเปลือง  ทำงานก็ไม่เป็น  พัฒนาประเทศก็ไม่ได้  จะเลี้ยงไว้ทำไม 
ข้าพเจ้าเขียนถึงตรงนี้แล้ว  คงไม่เขียนอะไรต่อไป   เพราะข้าพเจ้าเพียงแต่จะเล่าประวัติศาสตร์ให้เห็นภาพชัดขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์ในการศึกษาและเป็นที่โต้แย้งหรือแตกประเด็นเพียงเท่านั้น   ข้าพเจ้าก็ควรจะจบก่อนข้าพเจ้าจะออกอ่าวออกทะเลไป  แต่จริง ๆ แล้วข้าพเจ้ามีตอนจบค้างอยู่ในใจ  และไม่เขียนออกมา


ส่วนพวกท่านแล้วประสงค์ให้บทความนี้มีตอนจบอย่างไรก็ลิขิตเขียนด้วยตัวท่านเอง


สวัสดี