วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

บันทึกของพ่อ

ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพ่อของผมจะเคยเขียนบันทึกกับเขาด้วย   แต่ตอนนี้ผมกำลังถือสมุดบันทึกของพ่อ   มันเป็นสมุดธรรมดาที่เขียนหน้าปกว่า สมุดลายไทย มันเป็นสมุดธรรมดาทั่วไปแต่ที่ได้ชื่อแบบนั้นคงเพราะว่ามีลายไทยคล้ายกับลายเทพพนมอยู่บนหน้าปก  ปกสมุดทำด้วยกระดาษแข็งมันจึงมีความหนากว่าสมุดทั่วไป   ด้านล่างมีช่องให้เขียนชื่อซึ่งพ่อผมเขียนในช่องนั้นว่า "อมรเทพบันทึก"  อมรเทพ เป็นชื่อของผมเอง  ดังนั้นการที่ผมหยิบสมุดเล่มนี้ขึ้นมามิใช่ว่าบังเอิญแต่เป็นเพราะชื่อที่สะดุดตา  ลายมือของพ่อแม้อ่านยากเส้นสายหวัดแต่กดหนักทุกลายเส้นจึงเป็นที่ง่ายแก่การจดจำ  ถ้าใครได้มาเห็นลายมือของพ่อผมแล้วสักครั้งต่อไปเมื่อเขาพบลายมือแบบนี้ที่ไหนจะรู้ได้โดยพลันว่านี่คือลายมือของพ่อ

ผมไม่อยากเปิดอ่านสมุดเล่มนั้นเลยเพราะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าในนั้นจะเขียนอะไรไว้บ้าง  แต่ดูจากความเก่าของสมุดแล้วก็คาดการณ์ได้คร่าว ๆ ว่าพ่อคงจะเริ่มเขียนบันทึกนี้ตั้งแต่ผมเกิด   บางทีมันคงอาจจะมีข้อความอะไรดี ๆ เขียนถึงผมบ้างละมังเมื่อคิดแบบนี้ผมจึงเริ่มเปิดอ่าน


วันนี้พ่อดีใจเพราะเป็นวันที่พ่อรู้ตัวว่าจากวันนี้ไปพ่อได้เป็นพ่อคน   แม่มาบอกอย่างไม่แน่ใจนักแต่เมื่อพ่อพาไปโรงหมอก็ได้รับการยืนยันว่าแม่ตั้งท้องจริง  พ่อก็น่าจะประหลาดใจอยู่บ้างแล้วเพราะตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาแม่ของหนูนั้นเรียกร้องจะกินแต่ขนุนอย่างเดียว  ข้าวคลุกน้ำพริกกับมันหมูเจียวที่ชอบก็ไม่ทานอ้างว่าเหม็นคาวมันหมูทั้งที่แต่ก่อนต้องกินแทบจะทุกมื้อเลย  พ่อต้องซื้อขนุนกลับมาฝากแม่ทุกวันวันละโล  ถ้าพ่อคิดให้ถี่ถ้วนสักหน่อยพ่อคงรู้ว่านี่เป็นสัญญาณการมาถึงของหนู


ผมอ่านข้อความก่อนแล้วกวาดสายตาไปด้านบนเพื่ออ่านวันที่ที่พ่อเขียนไว้ว่าบันทึกตั้งแต่เมื่อไหร่  มันเป็นวันก่อนผมเกิดเจ็ดเดือนเลยเหรอ  ผมคิดว่าแม่ผมแพ้ท้องเร็วนะเพราะสองเดือนก็เริ่มแพ้แล้วเพราะไอ้ที่ผมเห็นในหนังในละครมันต้องสามเดือนทุกทีเลยพาลให้สงสัยว่าจริง ๆ แล้วคนเราเริ่มแพ้ท้องตอนกี่เดือนกันแน่หนอ  เอาล่ะ... ไว้อ่านเสร็จจะเก็บความสงสัยนี้ไปถามลุงกูเกิ้ลให้เฉลย  ผมพลิกอ่านไปเรื่อย ๆ ก็พบว่าพ่อที่ดูเฉยและเย็นชากับผมนั้นค่อนข้างเอาใจใส่ผมมากพอดู  ผมอยากให้พ่อดูแลผมน้อยลงกว่าที่เป็นในตอนนั้นเพื่อเอามาแบ่งปันความเอาใจใส่เมื่อผมเติบโตขึ้นแล้ว  ผมพลิกอ่านไปหลายหน้าจนเจอกับอีกวันหนึ่งที่พ่อได้เขียนเอาไว้

วันนี้แม่เล่าให้ฟังว่า  เมื่อหลายเดือนก่อนที่จะรู้ว่าตั้งท้องหนูน่ะ  แม่ได้ฝันแต่แม่กลัวพ่อจะว่ากินมากก็เลยฝันฟุ้งเลยไม่ได้เอามาเล่าให้ฟัง  ก่อนที่จะท้องหนูแม่ฝันว่ามีแม่ชีคนหนึ่งอุ้มห่อผ้ามาให้  แม่ชีคนนั้นบอกให้แม่แบมือมาจะให้ของ  แต่แม่ก็ไม่กล้าแบเลยบอกไปว่า จะเอาอะไรมาให้  ไม่เอา  แต่แม่ชีคนนั้นก็พยายามพูดไปอีกว่า  แบมือมารับเหอะนี่เป็นของที่เธออยากได้นะ  แม่เลยแบมือรับเพราะอยากรู้  ปรากฏว่าแม่ชีคนนั้นวางแหวนไว้ให้  แม่ของหนูก็บอกว่าไม่เอาแหวนน่ะผัวฉันซื้อให้ตั้งหลายวงจะเอาของแม่ชีไปทำไม  แม่ชียิ้มแล้วตอบว่า  ฉันไม่ได้ให้แหวนเธอ  ฉันเอาแหวนให้เด็ก  เธอเห็นไหมว่าฉันอุ้มเด็กมาให้เธอด้วย  เมื่อแม่ชีพูดจบก็ยื่นห่อผ้ามาตรงหน้าแม่  แม่บอกว่าเด็กที่เห็นในฝันนั้นน่ารักน่าเอ็นดูมากแต่ดูไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงแม่เลยเอื้อมไปรับเด็กที่อยู่ในห่อผ้ามาอุ้ม  ขณะที่กำลังจะเปิดห่อผ้าดูเพศ  แม่ชีก็หายตัวไปแม่ตกใจตื่นเลยอดดูให้รู้ว่าเด็กเพศอะไรกันแน่  พ่อได้ยินเรื่องนี้ก็ตีเอาว่าน่าจะเป็นผู้หญิงนะเพราะแม่ชีเอามาให้  แม่เลยย้อนว่า  ฉันก็ไม่เคยได้ยินใครเล่าเหมือนกันว่ามีพระสงฆ์อุ้มเด็กมาให้ใครในฝัน 

พ่อก็เห็นจริงตามนั้นเพราะตั้งแต่เกิดเป็นผู้เป็นคนมาก็ไม่เคยได้ยินใครเล่าความฝันว่าพระสงฆ์อุ้มเด็กมาให้  เห็นว่ามีแต่แม่ชีหรือคนธรรมดาอุ้มเด็กมาและไอ้ที่เคยได้ยินมาว่ามีแม่ชีอุ้มเด็กมานั้นเกิดเป็นชายก็ถมเถ  แรกเริ่มเดิมทีพ่อไม่ได้อยากรู้เลยว่าลูกในท้องจะเป็นหญิงหรือชาย  เพราะพ่อเชื่อว่าฟ้าได้ลิขิตมาแล้ว  แต่ในใจลึก ๆ นั้นพ่ออยากให้หนูเป็นผู้ชาย  มันเป็นธรรมดาล่ะที่คนส่วนใหญ่ย่อมคาดหวังจะได้ลูกชายมากกว่าลูกสาว  พ่อไม่ได้เชื่อในคำกล่าวที่ว่า "มีลูกสาวเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน"  พ่อไม่ได้เชื่อเช่นนั้นแต่ความรู้สึกและการปลูกฝังมาแต่อดีตทำให้พ่ออยากมีลูกชาย  แต่ถ้าหนูเกิดเป็นผู้หญิงพ่อก็รักและเอ็นดูหนูเหมือนเดิม

พ่อบันทึกไว้เท่านี้ในวันนั้นแต่อีกวันถัดมาพ่อก็เขียนบันทึกอีก

วันนี้ตายายหนูมาที่บ้าน  ร้อยชาติพันชาติไม่เคยมาเหยียบบ้านพ่อแต่พอได้ข่าวว่าแม่ท้องก็ลงทุนเดินทางจากเพชรบูรณ์มาหา  ท่านเอาของฝากมาให้มากมายซึ่งของแต่ละอย่างเป็นของบำรุงครรถ์ทั้งนั้น  ตากับยายแนะนำของกินต่าง ๆ รวมทั้งบรรยายสรรพคุณว่ากินไอ้นั่นไอ้นี่จะดีกับหนูอย่างไร  ตาของลูกน่ะจัดได้ว่าเป็นพ่อตาจอมโหดได้เลยนะ  แกหวงลูกสาวอย่างกับจงอางหวงไข่ใครแหยมไปหน้าบ้านชะม้ายตามองลูกสาวเข้าหน่อยเป็นต้องหยิบลูกซองมาขู่   แม้แต่พ่อเองแรก ๆ ไปขอแกก็ไม่ได้คิดจะยกให้แกกลัวว่าพ่อจะเลี้ยงดูแม่ไม่ดีเท่าแก  ไม่อยากปล่อยแม่ให้ออกจากอกที่อบอุ่นแต่เจอลูกหน้าด้านหน้าทนของพ่อเข้าตาของลูกก็ใจอ่อน  แต่แกคงช้ำใจที่พ่อเป็นตัวการพรากแม่จากอกตา  แกเลยเหมือนจะเคืองพ่อประมาณว่าหน้าก็ไม่อยากเห็นเสียงก็ไม่อยากได้ยิน  สองปีมาแล้วหลังจากพ่อได้แม่มาเป็นแม่เรือนถึงได้เห็นหน้าเห็นตาคุณพ่อตาสักครั้งนี่เพราะหนูแท้ ๆ

คุยกันไปสักพักตากับยายของหนูก็คว้าของออกจากกระเป๋า  มันเป็นถุงแพรเล็ก ๆ สีแดง  พ่อรู้ได้ทันทีว่าเป็นอะไรเพราะถุงแบบนั้นส่วนใหญ่แล้วเขาใช้กันในร้านทอง  ตาได้ซื้อสร้อยข้อมือมาทำขวัญหนูด้วย  ตาบอกว่าตอนคลอดไม่รู้แกจะตายหรืออยู่ทำขวัญให้เสียแต่ตอนนี้  แม่ก็ทำหน้าเศร้าเพราะได้ยินคนเป็นพ่อพูดแบบนั้น  ตาของหนูแม้เป็นคนดุยึดติดขี้หวงแต่ก็เป็นคนปลงตกในระดับหนึ่งซึ่งพ่อคิดว่ามันก็ขัดแย้งกับความเป็นตัวของแกเองน่ะนะ  ตาของหนูอยู่ ๆ ก็ถามว่า  "รู้หรือยังว่าเป็นชายหรือหญิง"  พ่อก็บอกไปว่า "จะไปรู้ได้ไงครับ"  ตาก็ตบเข่าฉาดแล้วบอกว่า "บ๊ะ ไอ้นี่  รู้ได้สิวะ  เอ็งน่ะหันหน้าไปทางอื่นก่อน"  พอเห็นพ่อหันหน้าไปอีกทางแล้วก็บอกให้แม่เปิดเสื้อขึ้นมาขอดูท้องขอดูสะดือหน่อย  ตาแกอธิบายเรื่องสะดือคว่ำหงายอะไรสักพักซึ่งพ่อก็ไม่ค่อยเข้าใจแต่พอแกดูแล้วก็ฟันธงมาว่า  "เฮ้ย ท้องนี้ผู้ชายชัวร์ป้าบ"  พูดจบก็ให้พ่อหันมาแล้วถามว่า  "ตั้งชื่อแล้วหรือยัง"  พ่อเลยตอบไปว่าเด็กยันไม่ทันเกิดยันไม่ทันรู้เพศจะตั้งชื่อให้ได้ไง  ตาแก่ทำท่าไม่พอใจแล้วพูดว่า "อุบ๊ะ ไอ้นี่ก็ข้าบอกว่าไอ้เด็กคนนี้เป็นผู้ชายก็ต้องผู้ชายสิวะ"  พ่อเลยยั่วโมโหพ่อตาไปหนึ่งที  "แล้วพ่อเป็นหมอดูหมอเดาหรือไงถึงได้ทำนายล่วงหน้า  ถ้าผมตั้งชื่อผู้ชายแต่ดันออกมาเป็นลูกสาวไม่ต้องแก้ไขกันใหม่เหรอ  แล้วอีตอนนางพยาบาลถามลูกสาวผมไม่ต้องใช้ชื่อผู้ชายไปก่อนหรือไร"  คนแก่โมโหง่ายแกเลยเอาเท้ายันโครมมาหนึ่งทีพร้อมกับพูดกับพ่อว่า  "เอ็งนี่เชื่อโบราณสักหน่อยเหอะ  โบราณเขามีวิธีดูมาตั้งนมตั้งนานแล้ว  และไอ้ข้าเองก็ดูไม่เคยพลาด  ถ้าท้องนี้เป็นลูกสาวมาตัดคอข้าไปเลย  ถ้าข้ายังไม่ตายน่ะนะ"  พ่อเลยตอบแกแบบยั่วโมโหไปว่า  "ถ้าพ่อทายผิดและถ้าพ่อยังไม่ตาย  ไม่ต้องถึงตัดหัวหรอก  เพราะตำรวจเขาจะมาจับผมเอา  เอาแค่พ่อยอมพูดดี ๆ กับผมและเรียกผมว่าคุณลูกเขยทุกคำ  ผมก็พอใจแล้ว"

วันนั้นเป็นวันดีที่เดียวมันเหมือนย่นระยะความห่างระหว่างพ่อกับตาของหนูลง  หลายปีตาของหนูมึนตึงกับพ่อแต่ก็ได้หนูเป็นตัวเชื่อมทำให้เราได้พูดเล่นหวัวกันบ้าง  แต่พ่อก็บอกตามตรงนะว่าพ่อก็เชื่อสิ่งที่ตาหนูพูด  มิใช่ว่าสิ่งที่ตาหนูพูดเป็นสิ่งที่พ่ออยากฟังแต่มันเป็นสิ่งที่คนเก่าคนแก่ของเราได้เรียนรู้มา

คืนนั้นหลังจากที่แม่ของหนูนอนหลับไปแล้วพ่อก็หยิบกระดาษออกมาเพื่อจะเลือกชื่อให้หนู  แม้หลายคนที่พ่อรู้จักจะให้พระตั้งชื่อให้หรือให้คนเฒ่าคนแก่ที่เคารพตั้ง  แต่พ่อเห็นว่าชื่อของลูก  คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องตั้งเอง  ชื่อนั้นสำคัญไฉนพ่อคิดเช่นนี้เพราะคนโบร่ำโบราณชื่อไอ้หมาตาแมวก็มีตั้งมากมาย  การเอาชื่อลูกไปให้คนอื่นตั้งไฉนเลยจะซาบซึ้งเท่าตั้งเอง  คนอื่นหรือพระตั้งเขาก็เอาเพราะเอามีความหมายดีเป็นหลัก  แต่มันจะลึกซึ้งกินใจไหมล่ะ  ใครจะลึกซึ้งกินใจกับลูกเท่าคนเป็นพ่อเป็นแม่นั้นไม่มี   เพราะพ่อกับแม่คือคนที่อยู่และดูเวลาหนูตลอดเวลาและเฝ้าคอยการกำเนิดของหนูมากกว่าใคร ๆ ในโลกนี้  สักวันเมื่อหนูเจอบันทึกนี้แล้วได้อ่านหนูคงจะมีคำตอบอยู่ในใจว่า จริงหรือไม่...

พ่อนั่งคิดอยู่นาน  นานมาก  มันอาจจะเป็นเรื่องที่ทำให้พ่อใช้ความคิดนานที่สุดก็เป็นได้  เพราะพ่อเชื่อว่าชื่อนั้นจะติดกับตัวหนูไปจนตาย  แม้วันหนึ่งหนูอาจจะไม่ชอบชื่อที่พ่อตั้งให้แล้วไปเปลี่ยนแต่พ่อก็เชื่อลึก ๆ ว่าในสายตาของพ่อ  หนูก็ยังใช้ชื่อที่พ่อตั้งให้อยู่   เพราะชื่อที่พ่อตั้งให้นั้นอย่างที่บอกไปมันเต็มไปด้วยความหมายและความหวังและความเชื่อของพ่อที่มีต่อลูก  พ่อคิดอยู่เป็นชั่วโมงถึงได้ชื่อของหนู  อมรเทพ  ฟังดูเชยนะ  แต่สำหรับพ่อแล้วมันเพราะมาก  ทำไมพ่อถึงตั้งชื่อให้หนูแบบนี้รู้ไหม...

เพราะในสายตาของคนเป็นพ่อเป็นแม่ย่อมเห็นลูกเป็นเทวดา  ถ้ายังเล็กอยู่ก็เป็นเทวดาตัวน้อย ๆ แต่ถ้าโตขึ้นก็เป็นเทวดาตัวใหญ่ไง  พ่อกำปั้นทุบดินเกินไปหน่อยไหม...  ดังนั้นเมื่อหนูมีชื่อที่มีความหมายเป็น เทพเทวา หนูต้องทำตัวให้เหมือนกับเทพเทวา  ครองตัวอยู่ในทางแห่งความดี  พ่อแม่หลายคนอาจบอกว่าไม่ได้หวังอะไรในตัวลูก  แต่พ่อไม่เชื่อ  เพราะสิ่งที่พ่อเชื่อมาตลอดนั้นคือพ่อแม่ทุกคนในโลกนี้ล้วนตั้งความหวังไว้กับลูกทั้งนั้น  พ่อแม่บางคนก็บอกว่า  ไม่หวังอะไรกับลูกหรอก  แค่ให้เขาเป็นคนดีก็พอ  หนูเห็นไหมว่านั่นก็คือความหวังแล้วล่ะ  พ่อเองก็หวังจากลูกนะ  อยากให้หนูเป็นคนดี  มีฝีมือเอาตัวเองรอด  นี่คือเบื้องต้นของความหวังที่เป็นต้นทุน  แต่ถ้าหนูได้เป็นใหญ่เป็นโตเป็นคนมีชื่อเสียงในบ้านเราเมืองเราหรือระดับโลก  นั่นก็คือกำไร  เอาล่ะวันนี้พ่อคงต้องไปนอนเสียทีนั่งคิดชื่อให้หนูกว่าจะได้มาก็ดึกโขแล้วต่อด้วยการเขียนบันทึกอีก  พรุ่งนี้พ่อต้องไปทำงาน  ลืมไป...  พ่อตั้งชื่อให้หนูเป็นชื่อของลูกผู้ชายแล้วถ้าหนูเกิดมาเป็นผู้หญิงพ่อจะทำไงดี  อย่าน้อยใจนะถ้าลูกเป็นผู้หญิง  อย่าคิดว่าพ่อไม่ได้เตรียมชื่อไว้ให้ล่ะ  พ่อเตรียมไว้แล้วล่ะ  น่านนที  เพราะพ่อเป็นคนพิษณุโลกรักแม่น้ำน่านที่บ้านเกิดเอาไว้มาต่อพรุ่งนี้นะ  ดีเหลือเกินการเขียนบันทึกถึงลูกเนี่ยเพราะมันไม่ใช่แค่บันทึกถึงลูกเท่านั้นมันยังเป็นการเขียนบันทึกให้พ่อได้รฤกถึงเรื่องราวที่พ่อเกือบจะหลงลืมมันไป  แม้ยังไม่ได้เห็นหน้าลูกแต่พ่อก็รักลูกมาก

ผมรู้สึกเต็มตื้นที่ได้รับรู้ถึงความรักของพ่อแม้มันเหมือนจะดูสายไปแล้วก็ตามที  เพราะตั้งแต่ผมจำความได้ผมจำได้แต่เพียงความเข้มงวดของพ่อซึ่งมันค่อนข้างจะขัดแย้งกับความอ่อนโยนที่เห็นในบันทึกนี้  บางทีผมเคยสงสัยว่าในวัยเด็กพ่อเคยอุ้มผมหรือไม่   แต่วันนี้ไม่เพียงผมจะได้รู้ว่าพ่อรักผมแค่ไหน  ผมยังอยากกอดพ่อเหลือเกิน...  ถ้าผมได้มีโอกาสอีกครั้ง  ผมเปิดบันทึกหน้าต่อไป

เมื่อวานพ่อเล่าไปว่าถ้าหนูเป็นลูกสาวพ่อจะตั้งชื่อให้ว่า น่านนที  รู้ไหมเพราะอะไร ?  หนูคงไม่รู้หรอกแต่หนูต้องเข้าใจเลยว่านิสัยของคนทั่วไปเกือบทั้งโลกชอบตั้งคำถามทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจดีว่าอีกฝ่ายคงไม่มีทางรู้คำตอบ  แต่เมื่อพ่อมานั่งอ่านตอนนี้ น่านนที เนี่ยก็เป็นชื่อของผู้ชายได้นะเนี่ย  แต่เอาเถอะพ่อแบ่งแยกไปแล้วหวังว่าเมื่อโตขึ้นหนูได้มาอ่านบันทึกนี้แล้วคงไม่คิดอยากแปลงเพศนะลูกนะ

มาเข้าเรื่องกัน...  อย่างที่พ่อเขียนบอกไว้แล้วว่าพ่อเป็นคนพิษณุโลกและพ่อก็รักแม่น้ำน่านที่ไหลผ่านบ้านพ่อ  แต่มันก็ไม่ได้มากมายพอที่จะให้เอามาเป็นชื่อหนูแต่ที่ทำให้มันมีค่ามากนั่นก็เพราะความทรงจำที่พ่อมีร่วมกับแม่ของหนู   พ่อกับแม่เจอกันที่ริมน้ำน่านพ่อกำลังนั่งตกปลาส่วนแม่เอาเสื่อมาปูใกล้ ๆ นั่งอ่านหนังสือ  แม่ของหนูไม่ได้เหลือบแลมามองพ่อเลยแต่พ่อในสมัยนั้นก็หนุ่มกระทงแม้ไม่หล่อเฟี้ยวก็ตามที  แต่ด้วยความหนุ่มแน่นเลือดหนุ่มมันพลุ่งพล่านพอได้เห็นผู้หญิงก็เป็นต้องได้เหลียวมอง  หะแรกคิดว่าถ้าไม่สวยก็คงแซวเฉย ๆ แต่พอได้เห็นหน้าแม่ของหนูเท่านั้นพ่อก็ถึงกับพูดไม่ออก  แม่ของหนูไม่ใช่คนสวยแต่มีอะไรบางอย่างที่ชวนมอง  ยิ่งพ่อมองนานเข้าก็พบว่าไม่อาจละสายตาจากแม่ของหนูได้เลย  แม่ของหนูไม่ได้มีดีที่หน้าตาแต่เธอมีความงดงามต่างหากล่ะ  ไม่ใช่แค่ดวงหน้าเท่านั้นนะแม่หนูงดงามทั้งกิริยา  ตอนที่พ่อเข้าไปทำความรู้จักด้วยเธอไม่พูดไม่จาเหมือนไม่สนใจพ่อก็ล้อหนักเข้ากะจะเอาตลกเข้าว่าเพื่อให้แม่หนูสนใจ  แม่หนูก็ขำกับท่าทีของพ่อนะแต่เธอยิ้มออกมาไม่ให้พ่อเห็นแม้แต่ไรฟัน  แต่กระนั้นการที่พ่อเห็นรอยยิ้มแบบไม่เปิดปากหรือจะเรียกว่ายิ้มแบบแปลก ๆ ของแม่หนูนั้นกลับทำให้พ่อคิดว่ามันเป็นรอยยิ้มที่งดงามกว่าที่พ่อเคยเห็นจากที่ไหน ๆ มาเลยทีเดียว

พ่อมาดักรอแม่ทุกวันชวนพูดชวนคุยหยอกเอินเล่นหัวทำทุกอย่างเพื่อให้แม่หนูสนใจ  แต่แม่หนูก็นิ่งและอ่านหนังสือต่อซึ่งพ่อมาสังเกตเห็นทีหลังว่ามันคือหนังสือเรียน  ทีแรกพ่อก็นึกว่าแม่หนูมานั่งอ่านนิยายประโลมโลก บ้านทรายทอง วนิดา อะไรเทือกนี้  ทันทีที่แม่อ่านจบแม่ของหนูก็จะนั่งในท่าสบายบนเสื่อและทอดสายตาไปมองผืนน้ำที่สงบและเยือกเย็น  สีหน้าของแม่หนูตอนมองแม่น้ำนั้นเกินกว่าความสามารถของพ่อจะบรรยายได้  พ่อเลยชวนคุยเรื่องแม่น้ำ  ซึ่งมันกลับได้ผลเพราะแม่หนูเป็นคนรักธรรมชาติรักความสงบ  ซึ่งก็ตรงกับนิสัยพ่อ  จากนั้นมาพ่อก็เทียวมาพบเจอแม่ทุกวัน  ริมน้ำน่านคือที่นัดพบและก่อร่างสร้างรักของพ่อและแม่

พ่อบอกรักแม่ริมน้ำน่านแห่งนี้หลังจากเราพบกันทุกวันเป็นเวลาหนึ่งปี  พ่อรักแม่ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยสัมผัสกันแม้แต่นิด  แต่เพราะความผูกพันและสิ่งที่เรามีเหมือนกันหนึ่งปีที่ผ่านมาจึงเป็นช่วงแห่งความสุขและพ่อก็จะไม่มีวันปล่อยให้มันผ่านไป  ในตอนที่พ่อบอกคำ "รัก" แก่แม่ของหนูนั้นพ่อคิดว่าถ้าเธอไม่รับรัก  มันก็จะไม่ทรมานอีกต่อไป  เพราะในเวลานั้นพ่อรู้ตัวเลยว่ายิ่งนานเพียงไรพ่อก็ยิ่งรักแม่หนูมากขึ้นทุกวัน  ถ้าเวลาผันผ่านไปอีกโดยที่เราไม่ได้คุยและพูดจากันให้รู้เรื่องแล้วอยู่ ๆ พ่อถูกแม่ของหนูสะบั้นรักลง  พ่อไม่แน่ใจจริง ๆ ว่าพ่อจะมีแรงอยู่บนโลกนี้ต่อไปได้หรือไม่...

เมื่อแม่หนูได้ยิน เธอเอียงอายหน้าแดงและก้มหน้าลงแต่ในแวบนั้นเองพ่อก็เห็นแววตาที่หวาดวิตกเกิดขึ้นในสายตาของแม่  พ่อรู้ว่าแม่หนูมีใจให้กับพ่อแน่นอนแต่ต้องมีเหตุบางอย่างที่เธอต้องวิตก  พ่อเลยถามไปแม่หนูก็ตอบมา  แม่ติดตรงคุณพ่อเป็นคนเข้มงวดและอีกอย่างในเวลานี้ก็ยังอยู่ในวัยเรียนไม่ควรริรัก  แม่ของหนูสำทับว่าถ้าจะให้คุณพ่อยอมรับพ่อต้องดีพอ  ในเวลานั้นพ่อเป็นเด็กเกกมะเหรกไม่ร่ำไม่เรียนได้แต่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ตื่นเช้าเข้าไร่เข้านาตกบ่ายตกปลาล่าสัตว์มีชีวิตอยู่กับป่ากับดงไม่อนาทรกับอนาคตคิดเอาเสียแต่ว่ามีสองมือคงไม่อดตาย  หิวหนักก็หยิบหนังกระติ๊กหน้าไม้ออกล่า  เบื่อสัตว์บกก็คว้าเบ็ดตกปลากินสัตว์เนื้ออ่อน  ข้างรั้วรึก็มีพืชพันธ์มากมายทำน้ำพริกได้หลายชนิดเดินเข้าดงไปก็มีผักต้มแกล้ม  จะอะไรกันนักหนา

แต่ในเวลานั้นพ่อรู้เลยว่าแม่หนูกำลังหมายความว่าอย่างไร  พ่อจึงตั้งสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าแม่น้ำและพาแม่ของหนูไปวัดพ่อใหญ่กลางเมือง  พ่อไม่ได้ตั้งสัตย์สาบานรักแบบที่ไอ้ขวัญอีเรียมทำกันนะ  พ่อเพียงพาแม่หนูไปดูว่าพ่อจะไปขอพรจากองค์พ่อใหญ่ว่าจากนี้ไปพ่อจะตั้งหน้าตั้งตาสร้างอนาคตเพื่อจะดีพอในสายตาของพ่อตาในอนาคต  ขอให้พ่อใหญ่อำนวยพรให้กับพ่อ  จากวันนั้นมาชีวิตพ่อเปลี่ยนไปพ่อกลับไปเข้าโรงเรียนเรียนแบบตั้งใจจะเอาดีให้ได้พ่อพากเพียรเรียนศึกษาหางานทำและก่อร่างสร้างตัวพ่อใช้เวลาถึงสิบปีเต็มซึ่งพ่อก็ได้ดีมาในระดับหนึ่งมีอาชีพที่คนนับหน้าถือตา  เงินเดือนแม้จะน้อยนิดแต่ก็อาศัยทำงานพิเศษเพื่อเก็บหอมรอมริบจนมีหน้ามีตาในบ้านเกิดเมืองนอน  สุดท้ายพ่อก็หน้าด้านหน้าทนจนพ่อของแม่ยกแม่ให้กับพ่อ  และในวันที่เราจะแต่งงานนั้นพ่อพาแม่มาที่ริมแม่น้ำน่านจุดที่เราทั้งสองได้พบกันครั้งแรกและใช้เวลาร่วมกันพ่อจับมือแม่ไว้และพูดว่า  "เมื่อสิบปีที่แล้วผมรักคุณอย่างไร  วันนี้มันก็ไม่ได้น้อยลง  วันนั้นผมสัญญากับคุณครั้งแรกตรงนี้  วันนี้ผมก็จะให้สัญญาอีกครั้ง"

แม่หนูถามว่า  "สัญญาอะไรคะ"  แล้วทำหน้าเอียงอาย  "ฉันไม่ได้ขอสักหน่อย"

พ่อตอบแม่ว่า  "สัญญาว่าผมจะรักคุณตลอดไปและผมจะทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวของเรา"

เห็นไหมลูกว่า  น่านนที มันมีที่มาที่ไปอย่างไร  เอาล่ะพ่อต้องไปบีบนวดให้แม่หนูหน่อยแล้ว  คนท้องนี่ก็หนักก็เหนื่อยไม่ใช่เล่นนะนี่  แม่หนูลำบากมากนะลูกเมื่อโตขึ้นมาหนูต้องรักและบูชาแม่ของหนูมาก ๆ ล่ะ  (เห็นไหมนี่ก็คือความคาดหวังของคนเป็นพ่อเป็นแม่อีกแหล่ะ)

จากนั้นผมก็พลิกไปอ่านไปเรื่อย ๆ จนมีหยดน้ำหล่นใส่หน้ากระดาษเป็นจุดจึงทำให้ผมได้รู้ว่าผมกำลังร้องไห้  ผมเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงร้องไห้ออกมาเพราะความรู้สึกของผมที่มีต่อพ่อตลอดมา  ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองรักผู้ชายคนที่เรียกว่า พ่อ  แต่วันนี้ผมถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วความคิดที่ว่าผมไม่มีความรักให้พ่อนั้นมันเป็นเรื่องที่ผิด  ความรักนั้นมีอยู่แต่เพียงผมนั้นเอาอิฐมาก่อกำแพงกั้นทำให้มองไม่เห็นพิจารณาไม่ออกว่าสิ่งที่พ่อทำไปทั้งหมดนั้นก็เพื่อตัวผมสิ่งที่ทำเพื่อผมมาตลอดนั้นท่านทำเปี่ยมด้วยความรัก  ผมเปิดอ่านมาจนถึงวันที่ผมเกิด

วันนี้แม่ของลูกเข้าห้องคลอดแล้ว  พ่อเป็นห่วงเหลือเกินว่าลูกจะออกมาตัวเหลืองผิดมนุษย์เพราะตลอดเวลามาแม่หนูไม่ค่อยกินข้าวกินอะไรจะกินก็แต่ ขนุน บางวันกินถึงสองโลซึ่งตลอดเวลาตั้งแต่ที่แพ้ท้องวันแรกจนถึงวันนี้ที่หนูคลอดแม่หนูไม่กินอย่างอื่นเป็นชิ้นเป็นอันนอกจากขนุน  ดังนั้นการที่พ่อกลัวว่าหนูจะออกมาแล้วตัวเหลืองคงไม่ใช่เรื่องเกินเลยไปใช่ไหม  ก่อนพาแม่เข้าห้องคลอดพ่อได้ย้ำนางพยาบาลเป็นนักหนาว่าให้ดูเวลาเกิดของหนูให้แน่นอน  พ่อถึงขั้นถอดนาฬิกาส่งให้พยาบาลเพื่อให้ดูให้ชัวร์ว่าหนูเกิดกี่โมงกี่นาที  พ่อก็ยังเป็นคนหัวเก่าอยู่ล่ะลูกแม้บางทีความคิดของพ่อจะแหวกแนวไปบ้าง  แต่ในเรื่องแบบนี้พ่อก็ต้องมีที่ต้องการเอาเวลาให้เป๊ะนั้นจะได้เอาไปผูกดวง  เพราะพ่อดูในปฏิทินโหรแล้วในช่วงนี้มีวันดีหลายวันถ้าเวลาเกิดดี ๆ ลัคนาอยู่ถูกที่ถูกทางหนูอาจเป็นเจ้าคนนายคนมีชื่อเสียงเกริกก้องเกรียงไกร 

แม่หนูเข้าห้องคลอดนานแค่ไหนไม่รู้แต่พ่อรู้สึกว่ามันนานเหลือเกิน  แล้วจู่ ๆ ฝนก็ตกพ่อชะโงกหน้าออกไปมองทางหน้าต่างเห็นว่าฝนลงเม็ด  ฝนตกมันมีหลายแบบนะลูกถ้าเชื่อโบราณบานบุรีก็ต้องบอกว่าจะดีชั่วดูฝนก็จะรู้  ถ้าตกหนัก ๆ แบบต้นหญ้าโงหัวไม่ขึ้น  เขาเรียกว่า เทวดาล้างแผ่นดิน  ซึ่งเชื่อกันว่าคนเลว ๆ ลงมาเกิดหรือคนเลว ๆ ในแผ่นดินกำลังจะตาย  ถ้าฝนตกเบาหน่อยแต่ท้องฟ้ามืดครึ้ม  เขาเรียกว่า เทวดาร้องไห้  ซึ่งเชื่อกันว่า คนดี ๆ หรือผู้ยิ่งใหญ่กำลังจะจากไป  แต่วันนี้ฟ้าโปร่งมองเห็นดาวแต่มีสายฝนร่วงลงมาต้องต้นไม้ใบหญ้าให้ชุ่มชื้น  พ่อเชื่อเหมือนหลาย ๆ คนว่า  ฝนแบบนี้เรียกว่า เทวดาอวยพร  ขณะที่พ่อมองหน้าต่างอยู่นั้นนางพยาบาลก็เรียกพ่อให้ไปดู  เขาแจ้งพ่อว่าหนูคลอดแล้ว  พ่อหาคำบรรยายความรู้สึกในเวลานั้นไม่ออกเลยจริง ๆ สรุปได้สั้น ๆ ว่า ตื้นตันเหลือเกินที่จะได้เห็นหน่อเนื้อและสายเลือดของพ่อ

ทันทีที่พยาบาลอุ้มหนูมาให้  พ่อน้ำตาไหลซึ่งเหมือนกันกับแม่  หนูไม่ได้น่ารักเลยไม่ได้เหมือนเด็กในรูปที่แม่พยายามมองทุกวัน  เออ... พ่อลืมเล่าไปใช่ไหมพ่อขอเล่าเรื่องนี้คั่นก่อนนะ  มีคนบอกแม่ว่าถ้าอยากให้เด็กเกิดมาผิวดีกินน้ำมะพร้าวเยอะ ๆ แต่ถ้าอยากให้ออกมาหน้าตาดีให้ดูรูปเด็กน่ารัก ๆ เลือกเอาว่าอยากน่ารักแบบฝรั่ง ญี่ปุ่น จีน หรือแบบไหนก็เลือกซื้อมาติดให้รอบแล้วดูก่อนนอนทุกวัน  แต่แม่หนูชอบแบบแขกเลยไปซื้อรูปเด็กแขกมาดูซึ่งพ่อก็ว่าน่ารักดีแหล่ะมันเป็นรูปเทพเจ้าแขกตอนเด็ก ๆ ที่พ่อแน่ใจเพราะเห็นรูปหนึ่งเป็นเด็กแขกเป่าขลุ่ยตัวอ้วนจ้ำม่ำบนหัวมีผ้าโพกประดับด้วยขนนกยูงเพราะนั่นคือสัญลักษณ์ของ กฤษณะ แห่ง มหาภารตะ  ซึ่งโตขึ้นหนูคงได้อ่านเองล่ะ  ถ้าจะให้พ่อเล่าตอนนี้มันคงจะยาวยืดกินพื้นที่สมุดบันทึกนี้ไปหมด  แต่พอหนูออกมามันไม่เหมือนเลยหนูตัวเล็กเหลือเกินทุกอย่างเล็กไปหมด  แต่ผมหนูยาวเกินเด็กวัยเดียวกัน  มือเต็มเท้าเต็มแม้จะตัวน้อยแต่ลักษณะก็ดีที่สำคัญมือหนูวางบนอกประสานกันเหมือนพนมมือตลอดเวลา  

พยาบาลก็บอกว่าเด็กออกมาส่วนใหญ่จะกำมือแต่หนูแบมือ  พ่อก็บอกพยาบาลว่า ลูกของผมเนี่ยต้องเป็นคนมีบุญมาเกิดแน่ ๆ เลย  เพราะเด็กส่วนใหญ่เกิดมากำมือแสดงความหมายว่าจะยึดเอาทุกสิ่งทุกอย่างไว้  แต่หนูแบมือคือผู้ให้เป็นผู้เสียสละ  พยาบาลไม่รู้จะคิดอย่างไรกับสิ่งที่พ่อพูดไปเพราะเธอทำหน้าแปลก ๆ ยิ่งตอนที่พ่อเอ่ยชมว่ามือหนูเป็นมือพระเท้าเป็นเท้าพระยาราชสีห์เธอยิ่งทำหน้าแปลกใหญ่มองพ่อเหมือนว่าพ่อเป็นคนบ้าอย่างไงอย่างนั้น  ใครจะคิดอย่างไรก็ช่างเถอะ  เพราะพ่อก็ว่าตามตำรา 

จากนั้นพ่อก็ได้เจอแม่หนู  พ่อถามด้วยความเป็นห่วงว่าหนูคลอดง่ายไหม  หนูทำให้แม่เจ็บตัวมากไหม  แม่บอกแต่ว่าไม่เจ็บเลยและแทบไม่รู้สึกอะไรด้วย  พ่อถามว่า ทำไม  แม่บอกว่า  เพราะตอนที่พยาบาลบอกให้เบ่งนั้นมันก็เจ็บอยู่แต่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนางพยาบาลลุ้นจัดเผลอตดออกมา  ไม่รู้ว่าเพราะเหม็นหรือตกใจแม่เลยสลบไปแล้วตอนนั้นเองลูกก็คลอดออกมาซึ่งก็แปลว่าหนูไม่ได้ทำความเจ็บปวดให้แม่เลยแม้จะเป็นเรื่องบังเอิญและออกจากตลกก็เถอะ  แต่โดยรวมจะบอกว่าหนูเกิดอย่างคนมีบุญก็คงไม่ผิดนัก

ผมอ่านบันทึกของวันที่ผมเกิดอย่างใจจดจ่อและก็หนาววูบไปถึงกระดูก  ผมนึกไม่ถึงเลยว่าพ่อจะเห็นผมสำคัญถึงเพียงนี้ถ้าในโลกจะมีใครสักคนยกย่องและบูชาผมที่สุดคงหนีไม่พ้นพ่อเป็นแน่แท้  ผมเปิดอ่านหน้าต่อไปและหน้าต่อไป  ผมน้ำตาไหลออกมาเป็นสายเพราะผมสิ่งที่อ่านไปนั้นทำให้ผมทราบว่าผมไม่สบายตั้งแต่เด็กต้องอยู่ในตู้แช่พ่อต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อซื้อน้ำแข็งมาใส่ตู้   จ่ายค่ายาค่ามดหมอพ่อเขียนว่าในตอนนั้นพ่อต้องขายบ้านไปสองหลังเป็นบ้านที่ซื้อเก็บไว้เก็งกำไรในภายหน้าแถมยังต้องเอาทองที่เก็บไว้ไปขายอีกเกือบสามสิบบาท   แถมยังไม่หมดปัญหาเพราะต่อมาผมก็เกิดแพ้อาหารทานทุกอย่างที่มาจากสัตว์ไม่ได้  ทานไปแล้วเกิดอาการแพ้  บางทีแพ้หนักเกิดช็อกขึ้นมาพ่อกับแม่ต้องแก้ปัญหาด้วยการซื้อนมถั่วเหลืองแบบกระป๋อง  พ่อเขียนบันทึกไว้ว่า

หนูรู้ไหมหนูเป็นเด็กพิเศษแม้พ่อจะต้องหมดค่ารักษาไปมากแต่พ่อก็เต็มใจและพ่อก็มองโลกในทางที่ดีเสมอ  พ่อเห็นว่าการที่หนูกินนมวัวนมแม่ไม่ได้เพราะหนูเป็นลูกพระ ซึ่งอาจเป็นเพราะตอนที่พ่อยังไม่มีลูกได้ไปบนบานขอกับพ่อใหญ่หลวงพ่อพระพุทธชินราชมา  น้าของลูกซึ่งเป็นหมออยู่ในกรุงเทพก็ได้แนะนำให้ลูกกินโปรโซบีซึ่งเป็นนมถั่วเหลืองและมันมีราคาแพงมาก  ซึ่งในเวลานั้นค่านมบวกค่ารักษาหนูพ่อก็แถบไม่มีเงินเหลือ  ทั้งที่พ่อทำงานทั้งในเวลาและนอกเวลาเงินที่จะหามาเลี้ยงดูลูกก็ดูเหมือนจะไม่พอ  พ่อเลยตัดสินใจทำนมถั่วเหลืองให้ลูกกินเอง

พ่อไปขอสูตรจากยายพวงหน้าตลาด  ยายแกก็เต็มใจบอกพ่อต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อมาทำนมถั่วเหลืองให้หนูแล้วก็แช่ไว้ในกระติกน้ำแข็งซึ่งประหยัดไปได้มากพ่อดู  แต่พ่อก็อดหวั่นใจไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรดีถ้าหนูขืนกินเนื้อสัตว์นมสัตว์ไม่ได้อยู่อย่างนี้  หนูจะเติบโตและแข็งแรงได้อย่างไร

วันนี้ผมแทบไม่เชื่อตัวเองว่าเคยผ่านสภาพแบบนั้นมาก่อน  เพราะขณะนี้ผมสูงเกือบเท่าพ่อคือร้อยแปดสิบเซนต์ติเมตรน้ำหนักเจ็ดสิบห้ากิโล  ซึ่งถือได้ว่าสมส่วนและแข็งแรงมาก  ผมทำใจเชื่อได้ยากว่าในอดีตผมเป็นเช่นนั้นและพ่อแม่ก็ไม่เคยเล่าให้ฟังได้แต่พูดกรอกหูผมตั้งแต่เด็กว่า

"ตอนเด็ก ๆ หนูเลี้ยงยากมากนะ  ดังนั้นตอนโตต้องทำตัวให้สมกับที่พ่อแม่พยายามประคับประคองหนูมา"

ผมอ่านบันทึกต่อไปเพราะอยากรู้ว่าพ่อจะแก้ปัญหาอย่างไรและเพราะอะไรผมถึงเติบโตได้แบบในวันนี้  เปิดไปไม่นานก็พบข้อความที่พ่อบันทึกไว้  ท่านเขียนว่า

"วันนี้พ่อไปที่สมาคมมังสวิรัตมาเพราะพ่อตัดสินใจไปบนบานกับ หลวงพ่อเพชร วัดท่าหลวง และ หลวงพ่อพุทธชินราช วัดใหญ่ ว่า  ตอนนี้ลูกของลูกช้างกินเนื้อสัตว์ไม่ได้กินได้แต่ผักหญ้ากับนมถั่วเหลือง  ถ้าปล่อยไว้แบบนี้เด็กจะตัวเล็กและแคระแกลน  ถ้ายังไงหลวงพ่อช่วยเมตตาลูกของลูกช้างทีเถอะและลูกจะกินมังสวิรัตถวายหลวงพ่อสามปี  ลูกช้างเติบโตมาจนจะครึ่งคนแล้วลูกช้างขาดอาหารไปบ้างลูกช้างยังอยู่ไหว  แต่ลูกของลูกช้างเด็กนักและถ้าลูกของลูกช้างกินนมสัตว์หรือกินเนื้อสัตว์ได้  ลูกช้างจะให้ลูกของลูกช้างบวชถวายหลวงพ่อเมื่อมันโตขึ้น"

ผมเคยได้ยินพ่อพูดไว้เหมือนกันแต่ผมก็ผลัดผ่อนมาแล้วไม่รู้กี่หน  จนพ่ออ่อนใจได้แต่ย้ำว่า

"พ่อไปบอกหลวงพ่อเพชรหลวงพ่อใหญ่ไว้  เมื่อลูกสะดวกเมื่อไหร่ก็บวชแล้วกัน  ไม่งั้นอาจเกิดเรื่องร้ายแรง  ผิดคำกับคนหนักหน่อยก็โดนชกปากหนักหน่อยก็โดนแจ้งความ  แต่ถ้าผิดคำกับพระคู่บ้านคู่เมือง  ถึงตายนะลูก" 

แต่จนแล้วจนรอดวันนี้ผมก็ยังไม่ได้บวชแต่ผมก็หาเหตุผลเข้าข้างตัวเองได้เพราะที่ผ่านมาผมต้องเรียนและทำงานยังหาเวลาไม่ได้  แต่เมื่อมาถึงวันนี้ผมกลับอยากบวชใจแทบขาดอย่างน้อย ๆ ผมก็อยากให้พ่อได้เห็นผ้าเหลือง  ผมพลิกสมุดบันทึกไปเรื่อยได้ซึมซับเรื่องราวในวัยเด็กผ่านตัวหนังสือจนมาถึงตอนหนึ่งผมก็ได้รับคำตอบว่าเหตุใดพ่อถึงดูเย็นชากับผม  ตั้งแต่เมื่อผมจำความได้แม่น  ถ้าอ่านจากวันที่ดูก็รู้ได้ทันทีว่าตอนนั้นผมอายุประมาณแปดขวบ  พ่อได้เขียนว่า

"วันนี้ก็เข้าวันเกิดปีที่แปดของลูก  ลูกเติบใหญ่มากจนคิดว่าอีกไม่กี่ปีคงโตทันกัน  แต่เป็นห่วงลูกเหลือเกินเพราะวันนี้ได้เจอเพื่อนที่ทำงาน  เขาได้เล่าให้ฟังถึงการต่อสู้ชีวิตให้ได้ฟัง  เขาบอกว่าในยุคพ่อของพวกเรานั้นแค่ เก่ง อย่างเดียวก็เอาตัวรอดได้  แต่พอมาในยุคเราถ้าจะอยู่รอดในสังคมแบบไม่ถูกใครเหยียบหัวต้อง เก่ง และ เฮง  แต่ในยุคของลูกเราเพื่อนมันถอนหายใจและบอกว่า  เก่ง และ เฮง ยังไม่พอเลยต้องบวก เจ๋ง ขึ้นมาอีกตัว 

พ่อก็มานั่งสำรวจตัวเองว่าตลอดเวลาพ่อเลี้ยงลูกมาแบบไข่ในหินแทบไม่ได้ให้อำนาจลูกในการตัดสินใจไม่ได้ให้โอกาศที่ลูกจะพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตัวเอง  อีกอย่างเมื่อวันเด็กที่ผ่านมาลูกได้มาย้ำกับพ่อเป็นหนที่ร้อยแล้วมั้งย้ำบอกพ่อว่า  "หนูอยากเป็นทหาร  โตขึ้นหนูต้องเป็นทหารให้ได้"  ถ้าพ่อยังเลี้ยงลูกแบบคอยตามเช็ดก้นให้แบบนี้  ลูกจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรจะตามความฝันที่ลูกมีได้อย่างไร  ตั้งแต่วันนี้ไปพ่อคงต้องทำใจแข็งกับลูก  พ่อจะไม่ตามใจพ่อจะเลี้ยงลูกและสอนให้ลูกเป็นมนุษย์ที่จะกล้าเผชิญกับโชคชะตาในวันข้างหน้าให้ได้  

พ่อต้องไม่มองยามลูกล้ม  ไม่ช่วยโอ๋ยามลูกเจ็บ  ไม่กล่อมยามลูกนอน  ไม่ช่วยเหลือยามลูกมีอุปสรรค  ลูกของพ่อต้องชินกับการตัดสินใจด้วยตัวเองลูกต้องเด็ดเดี่ยว  เพราะมันเป็นการปลูกฝังลูกให้เป็นทหารได้ด้วยในอนาคต  แม้พ่อจะต้องทำใจแข็งกับลูกและลูกอาจเข้าใจพ่อผิด  แต่อมรเทพเอ๋ยลูกเชื่อเถอะว่า  ความรักของพ่อที่มีต่อลูกไม่เคยน้อยลงไปแม้แต่นิดเดียว

ผมถึงกับร้องไห้โฮออกมาน้ำหูน้ำตาทะลักไหลผมอยากย้อนเวลากลับไปในอดีตได้  กลับไปในวันที่พ่อยังมีชีวิตอยู่อยากกราบเท้าของท่านเอาปากจูบเท้าท่านมอบความรักให้ท่านให้ได้มากที่สุดเท่าที่มนุษย์ด้วยกันจะให้ได้   ผมเมินเฉยต่อพ่อมาตลอดหลายปีเพราะคิดว่าพ่อภาษาอะไรเลี้ยงลูกให้ลำบาก  แข็งขืนกับลูกตลอดเวลา  เฉยเมยและปล่อยให้ผมยืนอยู่เดียวดาย  ผมหาได้รู้ไม่เลยว่าพ่อคอยยืนอยู่ข้างหลังและมองแผ่นหลังผมตลอดเวลา  ท่านคงไม่ยืนเฉยแน่ถ้าเห็นว่าผมกำลังจะล้มลง 

"พ่อ"  ผมเรียกออกมาเบา ๆ

ผมก้มหน้าลงปล่อยให้น้ำตามันหยดราดรดพื้นที่ห้องนอนของพ่อที่ที่ท่านนอนลงก่อนจะสิ้นลมหายใจ  ผมกอดสมุดบันทึกไว้กับอกกอดมันแน่นสะอื้นไห้จนตัวสั่นเทิ้ม  ในขณะนั้นเองก็มีซองจดหมายซองหนึ่งไหลออกมาจากสมุดและร่วงลงสู่พื้น  มันตกลงบนหยดน้ำตาของผมที่เพิ่งหล่นไปเมื่อสักครู่น้ำตาซึมซองจดหมายจนเป็นด่างดวง  ผมหยิบซองขึ้นมาซองจดหมายยังดูใหม่เหมือนเพิ่งซื้อมาเมื่อพลิกดูหน้าซองก็เห็นลายมือของพ่อที่จ่าหน้าถึงผม   แถบกาวด้านหลังผนึกมิดชิดผมวางสมุดบันทึกบนชั้นหนังสือก่อนมองรอบตัวเพื่อหามีดหรือกรรไกรเพื่อจะเปิดซอง  แต่ไม่เจอจึงได้แต่เอามือฉีกมุมซองอย่างละเอียดที่สุดเพื่อมิให้เผลอพลั้งไปโดนเนื้อจดหมาย

"เทพลูกรักของพ่อ 

พ่อได้เอาจดหมายนี้แนบไว้ในบันทึกที่พ่อเคยเขียนถึงลูกโดยหวังว่าเมื่อลูกพบเจอสมุดบันทึกลูกคงจะได้อ่านมันและก่อนจะได้อ่านจดหมายลูกคงจะเข้าใจที่มาที่ไปและความรู้สึกของพ่อที่มีต่อลูก  วันนี้พ่อไปไหว้พ่อใหญ่กราบลาท่านเพราะคงไม่มีโอกาสอีกแล้วที่จะได้มากราบไหว้ท่านอีก  ท่านเป็นที่พึ่งของพ่อมาเสมอและพ่อก็หวังว่าลูกจะให้ความเคารพท่านเหมือนที่พ่อเคยศรัทธา

พ่อรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกที่แม่ของลูกได้จากไปก่อนหน้านี้แล้ว  เพราะถ้าแม่อยู่ถึงวันนี้แล้วเจอแบบพ่อ พ่อก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าแม่จะรับมืออย่างไร  ตั้งแต่เล็กมาพ่อกับแม่ได้ดูแลหนูอย่างดีที่สุดเท่าที่เราจะทำกันได้  พ่อไม่อาจบอกได้ว่าพ่อเลี้ยงดูลูกดีที่สุดแต่พ่อเชื่อมั่นว่าพ่อกับแม่ทำดีที่สุด  สิ่งที่ดีที่สุดของความเป็นพ่อแม่คือการได้มอบความรักอย่างสุดจิตสุดใจให้กับลูกของเราและพ่อเชื่อว่า  พ่อแม่เกือบทุกคนในโลกจะคิดแบบนี้  (ถ้าพ่อแม่ของใครไม่คิดแบบนี้  ให้ลูกประณามไปเลยว่าเป็นพ่อแม่ที่เลวชาติ) 

แม้เราสองคนจะเลี้ยงลูกมาด้วยความยากลำบากแต่เราก็มีความสุขเมื่อเห็นลูกเติบโต  คำที่ว่าพ่อแม่ไม่อิ่มขอให้ลูกได้กินอิ่มเป็นพอเป็นความจริงและมันก็เกิดกับเราทั้งคู่  แต่หนูก็เป็นลูกที่ดีไม่เคยทำตัวเสื่อมเสียให้พ่อให้แม่ได้ผิดหวัง  แต่วันนี้วันที่พ่อต้องเขียนจดหมายถึงลูกนั้นเพราะพ่อมีปัญหากับตัวพ่อเอง  พ่อสุขภาพแข็งแรงดีไม่มีโรคภัยอะไรแม้จะคิดถึงแม่ของลูกอยู่มากโข  เพราะเขาชิงหนีพ่อไปสวรรค์ก็หลายปีแล้ว  แต่ปัญหาที่พ่อมีในวันนี้นั้นเป็นเพราะพ่อยึดมั่นเกินไปและพ่อไม่อาจจะอยู่สู้หน้าใครบนโลกนี้ได้เท่านั้นเอง

ลูกจำได้ไหมเมื่อหลายเดือนก่อนที่พ่อโทรไปหาลูกแล้วถามเรื่องสถานการณ์การชุมนุมเรียกร้องทางการเมือง  ในเวลานั้นมีข่าวว่ามีการยิงกันกลางเมืองและมีผู้ชุมนุมหลายคนจากโลกนี้ไปเพราะลูกกระสุน  พ่อหวังว่าลูกจะจำได้นะ 

ลูกรู้ไหมว่าผู้เสียชีวิตนั้นมีคนรู้จักของพ่ออยู่ด้วย  เขาเป็นลูกของเพื่อนพ่อเอง  เพื่อนพ่อคนที่บอกว่าในยุคสมัยของลูกนั้นถ้าจะอยู่รอดได้ต้อง เก่ง เฮง เจ๋ง นั่นแหล่ะ  (ถ้าหนูยังไม่ได้อ่านบันทึกก็เสียเวลาอ่านซะหน่อยนะลูก)  เขามีลูกและเลี้ยงดูลูกอย่างที่พ่อเลี้ยง  เลี้ยงแบบให้ยืนด้วยตัวเองกล้าคิดด้วยตัวเองและทุ่มเทความรักให้แก่ลูกของเขา 

เขาได้จากโลกนี้ไปก่อนหน้าที่พ่อจะโทรหาลูกหนึ่งวัน  เพราะอะไรรู้ไหมเพราะเพื่อนพ่อโทรมาหาพ่อเพื่อบอกว่า 

"ลูกมึงยิงลูกกูตาย  ลูกมึงเหี้ยมโหดมากทำไมต้องยิงลูกของกู  ไอ้สัตว์เอาลูกกูคืนมา"  มันพูดซ้ำไปซ้ำมาจนพ่อทุ่มเถียงกับมัน  มันเลยบอกพ่อว่า  "ก็ตอนที่ทหารยิงประชาชนกูอยู่ในเหตุการณ์และหน้าลูกมึงกูก็จำได้ดี  พิธีต่าง ๆ ที่เตรียมทหารกูก็ไปกับมึง  วันรับกระบี่กูก็ไปถ่ายรูปคู่กับลูกมึงทำไมกูจะจำลูกมึงไม่ได้  และลูกมึงก็จำได้ว่าไอ้คนที่มันยิงคือลูกของกู  ทำไมลูกมึงทำได้ลงคอ  มึงสอนลูกให้เป็นคนอำมหิตฆ่าคนที่เคยเห็นหน้าคร่าตากันได้อย่างไร"

วันนั้นพ่อถามลูกว่า  "วันนี้ลูกได้ฆ่าคนหรือเปล่า"  ใช่ไหม  แล้วลูกตอบพ่อว่าอะไรลูกจำได้ไหม  ลูกตอบพ่อว่า  "ไม่รู้สิ  ฆ่ามั้งแม่งเสือกออกมาก่อความวุ่นวายกันเอง"  แล้วลูกจำได้ไหมว่าพ่อถามอะไรต่อไปอีก  "แล้วทำไมต้องถึงกับฆ่ากับแกงกัน"  ลูกได้ตอบว่า  "ไม่ฆ่าแล้วจะปล่อยให้มันเพ่นพ่านเหมือนหมากลางถนนอย่างนี้เหรอ"

ลูกพ่อ...  มันเป็นความผิดของพ่อเองที่เลี้ยงลูกแบบให้ตัดสินใจเอง  ลูกทำดีมาตลอดแต่พ่อก็ลืมมองมุมลึกลงไปว่าการตัดสินใจของคนโดยขาดซึ่งมโนธรรมเป็นความผิด  และตรงนี้ที่พ่อรับไม่ได้กับการที่ลูกเป็นอย่างนี้เพราะหน้าที่หาความสำเร็จและการศึกษาเป็นของลูกแต่มโนธรรมผู้เป็นพ่อต้องคอยปลูกฝัง  แต่พ่อคิดแต่ว่าจะให้ลูกมีอนาคตในวันข้างหน้าโดยไม่ถูกใครเหยียบหัวเลยสอนลูกให้แกร่งกล้าคิดกล้าทำ  โดยที่พ่อลืมไปว่าคนเรานั้นถ้าไม่ถูกเขาเหยียบหัวก็ต้องเหยียบหัวคนอื่น  และคนที่เหยียบหัวคนอื่นอยู่นั้นถ้ามีความอำมหิตอยู่ในตัวมันสามารถทำทุกอย่างเพื่อทำให้คนอื่นถูกเหยียบจนจมดินได้  และลูกก็เป็นหนึ่งในนั้น

ลูกอาจจะบอกว่านี่คือหน้าที่ของทหาร นายสั่งมาก็ต้องทำ  แต่ลูกคงลืมไปว่านายสั่งมาอย่างไรแต่ ณ ตรงนั้นลูกมีอำนาจตัดสินใจเต็มที่  นายของลูกไม่มีสิทธ์สั่งลั่นไกในเวลานั้น  เพราะการตัดสินใจของลูกทำให้คนหนึ่งคนต้องตาย  และพ่อกล้ายืนยันว่าคน ๆ นั้นก็ถูกเลี้ยงดูและถูกให้ความรักจากคนเป็นพ่อเป็นแม่มาอย่างเดียวกับที่ลูกได้รับ   พ่อไม่อาจทนได้ที่ต้องอยู่ในโลกนี้โดยถูกตราหน้าว่าลูกเป็นฆาตกรคร่าชีวิตคนบริสุทธิ์  พ่อทนไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องอยู่บนโลกนี้โดยรู้อยู๋เสมอว่าลูกของพ่อฆ่าคนที่เขามีพ่อมีแม่  ลูกของพ่อ ลูกเคยได้ยินคำนี้ไหมว่า   ถ้าพ่อแม่เจ็บแทนลูกได้ก็จะเจ็บแทนและถ้าตายแทนได้ก็จะตายแทน

เพื่อนของพ่อ  อาอุ๊ของลูกทุกวันนี้แทบไม่เป็นผู้เป็นคนเขาเสียลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไปลูกที่เขารักยิ่งกว่าชีวิตของเขาเอง  ลูกที่เข้าหวังจะฝากผีฝากไข้ไว้ในอนาคต  ลูกไปยิงเขาตายมันเหมือนชีวิตเขาถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ลูกคงไม่ได้ข่าวเพราะลูกคงกำลังมีความสุขกับดาวบนบ่าที่เพิ่มขึ้น  แต่พ่ออยากบอกว่า  เมื่อวานนี้ อาอุ๊ของลูกผูกคอตายคาขื่อบ้าน  อาอุ๊ไม่ได้โง่หรอกลูกแต่เขารับไม่ได้ที่ลูกชายคนเดียวของเขาต้องมาตายจากไปด้วยสภาพไม่ต่างจากหมาข้างถนน

พ่อรู้ดีว่าความตายของลูกชายอาอุ๊คงหาตัวคงผิดมาลงโทษไม่ได้  แต่พ่อก็รู้อยู่แก่ใจว่าใครทำ  ดังนั้นพ่อขอทำหน้าที่ของพ่อที่ดีเป็นครั้งสุดท้าย  พ่อมองไม่เห็นหนทางเลยว่าจะชดใช้สองชีวิตที่เสียไปเพราะการตัดสินใจของลูกได้อย่างไร  พ่อไม่เห็นหนทาง  แต่พ่อก็มีทางคือตามไปเป็นข้ารับใช้สองพ่อลูกนั่น  ไม่ว่าเขาทั้งคู่จะอยู่บนสวรรค์หรือนรกพ่อก็จะตามไป

ลูกเทพที่รักของพ่อ  ขอให้ลูกได้รู้ว่าพ่อรักลูกเสมอและไม่ว่าจะอยู่ที่ใดพ่อก็จะคอยดูแลลูกและมองลูกจากข้างหลัง  แม้วันนี้พ่อจะไม่อยู่กับลูกแต่ความรักของพ่อที่มีต่อลูกไม่ได้ตายตามพ่อไปเลย 

พ่อขอสอนลูกเป็นครั้งสุดท้าย  หวังว่าลูกคงจะรับฟังคำสอนครั้งนี้  การตัดสินใจของมนุษย์ดีชั่วอยู่เพียงชั่วแล่น  เมื่อลูกมีอำนาจที่จะฆ่าใครได้ขอให้ลูกตัดสินใจให้ดีคิดถึงอกเขาและอกเรา  ขอให้ลูกคิดเสมอว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกนี้เกิดมาต้องมีพ่อมีแม่ทุกคน  อำนาจไม่ได้อยู่ที่การตัดสินใจว่าจะฆ่าหรือไม่  แต่อำนาจที่แท้จริงของความเป็นคนคือ  การใช้อำนาจอย่างรอบคอบและคงไว้ซึ่งความเมตตาต่อตนเองและผู้อื่น

พ่อลาลูกล่ะ  หมอคงตรวจไม่พบหรอกว่าพ่อเสียชีวิตเพราะอะไร  อย่างเก่งเขาก็คงคิดว่าพ่อกินปลาปักเป้าแล้วโดนพิษมันเสียชีวิตเท่านั้นเอง  แต่พ่อหวังว่ามันคงไม่เจ็บมาก  พ่อแก่แล้วไม่อยากจากโลกนี้ไปอย่างเจ็บปวด  พ่ออาบน้ำแล้วกำลังจะเตรียมสวดมนต์   และหลังจากสวดมนต์จบ  พ่อต้องทำบางสิ่งอย่างที่ควรต้องทำ

ปล.  อย่าลืมบวชนะลูกนะ แม้พ่อไม่ได้เห็นตอนมีชีวิตอยู่  เมื่อพ่อจากไปแล้วมองลูกมาจากอีกโลกได้เห็นผ้าเหลืองของลูก  พ่อก็คงอิ่มใจ

รักลูกเสมอ

พ่อ

น้ำตาไหลออกจากตาไม่หยุด  แม้วาระสุดท้ายของชีวิตพ่อก็ทำเพื่อผม  ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่พ่อทำนั้นถูกต้องหรือไม่อย่างไร  แต่ผมก็แน่ใจว่าพ่อตัดสินใจแบบนี้เพราะผมจริง ๆ  ผมไม่ขอย้อนเวลากลับไปแล้วเพราะมันเป็นไปไม่ได้และผมก็ขี้ขลาดไม่กล้าที่จะปลิดชีวิตลงเพื่อรับผิดชอบความผิดที่ก่อขึ้น

ผมเป็นคนฆ่าแต่พ่อก็ขอเป็นคนที่มารับผิด  ผมเช็ดน้ำตาออกผมเชื่อว่าพ่อไม่ต้องการเห็นน้ำตาของผู้เป็นลูก  ผมพับจดหมายและเก็บเข้าสมุดก่อนจะพิงตัวลงกับฝาบ้านมือลูบไล้ไปตรงจุดที่พ่อของผมนอนตาย   ม่านตาเหมือนหดตัวเล็กแสงสีต่าง ๆ ไม่ผ่านเข้าไปแต่ในหัวใจกระตุ้นเร่งให้สมองขับแสงหนึ่งมาบังตา   ใช่แล้ว  มันเรียกว่า  สีแห่งผ้ากาสาวพักตร์  สีที่ผมจะเอามันห่อหุ้มตัวไปตลอดชีวิตโดยหวังในใจลึก ๆ ว่า  มันจะชดเชยบาปที่ผมได้ทำลงไปและทำให้พ่อที่ยืนมองจากที่ไกล ๆ ได้สุขอารมณ์

ปล.  นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่คิดส่งมติชน  แต่ตอนจบมีสองแบบ  ดังนั้นระหว่างที่จะตัดสินใจเลือกว่าจะจบแบบไหน  ก็เลยกำหนดการส่งไปอีกหนึ่งเรื่อง  นะ

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

คนลวงโลก





มีตำนานมากกว่ามากในโลกนี้ที่บ่งบอกและสร้างขึ้นถึงความเป็นชนชาติต่าง ๆ ส่วนใหญ่มักจะอิงองค์เทพไท้บนฟ้าเป็นสำคัญโดยเฉพาะตำนานการ "สร้างชาติ" ของประเทศแถบเอเซีย  จีนก็มีเรื่องเล่าซึ่งข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าเหมาเอา ไคเภ็ก เป็นตำนานนั้นได้หรือไม่  ญี่ปุ่นก็มีตำนานแห่งสุริยเทวี  ถ้าจำไม่ผิดประเทศไทยจะเป็นพระอินทร์ลงมามีบทบาทเสียมาก   แม้ในชนเผ่าเล็ก ๆ ก็ยังมีแบบชาวเผ่าหนี่เจินที่เป็นต้นกำเนิดแห่งชนชาติแมนจูก็ยังมี   ตำนานนั้นพิศดารมากและก็วิปริตเกินที่ข้าพเจ้าจะจำได้หวาดไหว  จำได้แต่เพียงว่ามีนกสวรรค์ตัวหนึ่งไข่ออกมาใส่ปากผู้หญิงนางหนึ่งพอผู้หญิงกินไข่นกไปแล้วก็ตั้งท้องแล้วถือกำเนิดออกมาเป็น  ต้นตระกูลไอซินเจียหลอ...   ชาวหนี่เจินจึงภูมิใจในสายเลือดของตัวเองมากว่าเป็นสายเลือดสูงส่งมาจากสวรรค์โดยตรง  ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วพวกหนี่เจินเป็นชนเผ่าเล็ก ๆ หาของป่าล่าสัตว์เป็นสำคัญ   แต่เขาก็ยังภูมิใจ...  ไม่ว่ากัน

แต่นั่นคือตำนานและไม่มีใครพิสูจน์ได้แต่ตำนานการสร้างชาติต้าชิงของพวกหนี่เจินที่มีเอกสารทางประวัติศาสตร์รับรองนั้นเป็นตำนานการสร้างชาติที่เริ่มต้นจาก นูรฮาชี หรือ นูเอ๋อฮาเช่อ  ดังนั้นข้าพเจ้าจะเขียนชื่อใดในสองชื่อนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญเพราะมันก็คือคน ๆ เดียวกันนั่นแหล่ะ   นูรฮาชีนั้นเป็นคนล่าสัตว์เก็บของป่าเลี้ยงสัตว์เหมือนชาวเผ่าคนอื่น ๆ แต่วันหนึ่งสถานการณ์บีบ  ประเทศต้าหมิงที่เป็นขาใหญ่ในยุคนั้นได้บีบคั้นคนหนี่เจินโดยการดำเนินนโยบายให้หนี่เจินฆ่าหนี่เจิน   เผ่าของนูรฮาชีถูกฆ่ายกเผ่าพ่อแม่ปู่ย่าของเขาถูกฆ่าสิ้น   เหลือรอดออกมาก็เพียงเล็กน้อย  แต่ด้วยความแค้นทำให้นูรฮาชีต้องสู้เขารวบรวมชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งทำศึกครั้งแรกในชีวิตของเขา   และตำนานนั้นก็กลายมาเป็นความภาคภูมิใจของราชวงศ์แมนจูในยุคต่อ ๆ มา 

ความภูมิใจนั้นมาในรูปแบบคำพูดที่ว่า  "อาณาจักรต้าชิงนั้นสร้างชาติจากเสื้อเกราะสิบสามตัว"

คำพูดนี้ฟังดูแล้วยิ่งใหญ่เพราะคู่ต่อสู้ของศึกครั้งนั้นคือ นี่หังไอลัน เป็นหัวหน้าเผ่าหนึ่งที่มีกองกำลังถึงห้าพันหรือเกือบ ๆ จะห้าพันคน  ดังนั้นถ้าเราฟังแต่คำพูดจะเห็นว่า  นูรฮาชี  ต่อสู้กับคนห้าพันด้วยทหารเพียงสิบสามคน  (ไม่ทราบว่านับตัวขุนทัพอย่าง นูรฮาชี หรือไม่)  ฟังดูแล้วน่าภูมิใจในความเก่งกาจของชาวต้าชิงไหมล่ะ...   สิบสามคนรบชนะห้าพันเชียวนะ...

ถ้าฟังแล้วปล่อยผ่านก็ช่างเถิด  จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่  แต่สำหรับผู้ที่สนใจประวัติศาสตร์ในยุคนี้จะเจาะลึกแล้วหาข้อมูลให้ลึกไปจะเห็นว่าเรื่องนี้เป็นการโฆษณาชวนเชื่อที่สุดยอดจริง ๆ เพราะเป็นคำกล่าวอ้างที่ถ่ายทอดกันมาตลอดรุ่นต่อรุ่นและภูมิใจกันมากมายกับตำนานการสร้างชาติของราชวงศ์ชิง   แต่อย่างที่บอกไปว่าเรื่องนี้สุดท้ายแล้วมันเป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น   เพราะถ้าเจาะลึกลงไปจะเห็นได้ว่า  ในเวลานั้นที่นูรฮาชีทำศึกได้ขอความร่วมมือจากเผ่าต่าง ๆ มากมาย  รวบรวมคนได้จำนวนหนึ่งซึ่งไม่เกินห้าร้อยแต่ไม่ถึงพัน  แต่ที่กล่าวว่าทำศึกจากเกราะสิบสามตัวนั้น  มันมาจากว่าพวกนูรฮาชีนั้นเป็นพวกยากจน  ไม่มีเกราะทำศึกที่ใช้การได้ดี   เหลือแต่เกราะเก่า ๆ เพียงสิบสามชุด   ทหารที่มีเกราะใส่นั้นคือสิบสามคนแต่ไอ้ทหารเหมือนกันแต่ไม่มีเกราะใส่นั้นหลายร้อย...   เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับท่านสารวัตร

แต่อย่างไรก็ดีก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านูรฮาชีเป็นคนมีความสามารถ  รบพุ่งเก่งเพราะถ้าไม่เก่งก็คงนำทัพแบบหนึ่งสู้สิบไม่ได้อย่างนี้  แต่ถ้าเราอ่านเรื่องราวของเขาก็เห็นว่าเป็นไปได้เพราะนูรฮาชีแม้เป็นคนเผ่าแต่เขาก็ชอบอ่านหนังสือโดยเฉพาะสามก๊กและเรียนรู้ประวัติศาสตร์การศึก  จึงเป็นไปได้ที่เขาจะชนะการรบแบบหนึ่งสู้สิบได้  เพราะคู่ต่อสู้ของเขาก็ไม่ได้เป็นคนเก่งกาจอะไรเพียงแต่ราชวงศ์หมิงหนุนหลังเขาก็เท่านั้น    แต่มันก็เป็นคนละเรื่องกับคำกล่าวขวัญ  ความจริงเรื่องหนึ่งคำสรรเสริญเป็นอีกเรื่องหนึ่ง   คำสรรเสริญที่เกินจริงก็เป็นเรื่องที่สร้างความงมงายและนานไปจะหลงตัวเองเหมือนดั่งรุ่นหลัง ๆ ของราชวงศ์แมนจูที่มีฮ่องเต้เฟอะฟะแต่หลอกตัวเองว่ามีบารมีและมากด้วยความสามารถ  ให้คนออกมาเยินยอนิยมคำสอพลอโดยไม่ได้รู้ว่าตัวเองเก่งจริงหรือไม่  อย่างไร...

คำสรรเสริญเยินยอที่มีให้นูรฮาชีนั้น  ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นโฆษณาที่เกินจริงแต่ก็มีมูลแห่งความสามารถจริง  ดังนั้นข้าพเจ้าก็ร่วมภูมิใจและซาบซึ้งกับเขาไปด้วย   แต่อย่างที่บอกไปในยุคหลัง ๆ ก็ให้มีการสรรเสริญตัวเองอย่างบ้าคลั่งโดยเฉพาะจักรพรรดิเฉียนหลง  อันนี้เลอะเทอะเพราะโปรดให้คนแต่งคำเยินยอสรรเสริญตั้งฉายาถวายความเป็นมหาราช   และสุดท้ายก็บ้าคำเยินยอถึงกับเขียนคำสรรเสริญตัวเองและแต่งตั้งตัวเองเป็น  "ผู้ชนะสิบทิศ"  (ไม่รู้ว่ายุคนั้นทำศึกกับพม่ามากไปหรือเปล่า)   แต่ก็ยังถกเถียงกันอยู่ว่าเฉียนหลงเก่งจริงหรือไม่...  แต่ก็มีข้อโต้แย้งกันมากหลาย   เพราะบางอันคนยุคหลังก็มีข้อโต้แย้งว่า  เฉียนหลงไมได้เก่งจริงเป็นคำเยินยอที่เลอะเทอะ   บ้างก็กล่าวว่าเฉียนหลงไมได้เก่งจริงแต่แอบอ้างผลงานคนอื่นมาเป็นผลงานตัวเอง  บางคนก็เสนอข้อมูลว่าคำสรรเสริญของเฉียนหลงไม่เป็นจริงเลย   เพียงแต่เขาเก็บเกี่ยวเอาผลประโยชน์จากคนรุ่นก่อน ๆ มาเท่านั้น  

ก็ว่ากันไป...

ดังนั้นเรื่องคำสรรเสริญหรือการโฆษณาเกินจริงเป็นเรื่องอันตรายเหลือเกินสำหรับการศึกษาประวัติศาสตร์เพราะมันทำให้คนรุ่นหลังดูถูกฮ่องเต้องค์ที่ถูกขุดคุ้ย  ถ้าเก่งจริงก็ไม่ว่ากัน  แต่ถ้าเก่งไม่จริงแต่ชอบแอบอ้าง  ก็จะถูกเอามาแฉอย่างเฉียนหลงแล้วคนจะมองเขาว่าเป็นแค่  คนลวงโลก

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า   "คำสรรเสริญเยินยอที่เกินจริง  มักจะนำไปสู่การขุดคุ้ย  ถ้าไม่เก่งไม่ดีจริง  อย่ายกหางตัวเอง  คนเขาจะมองว่า  คุณมันแค่คนลวงโลกหลอกลวงประชาชน"

เจริญพร


วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

จดหมายจากคลองกระจง ถึง วู้ดดี้ เกิดมาควาย




ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่ฟังเพลง "คันหู" แล้วบอกได้เลยว่า  "ไม่ชอบ"  แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้คิดด่าทออย่างใดเพียงแต่มองว่านี่คือศิลปะในอีกรูปแบบหนึ่งที่ข้าพเจ้าไม่ชอบเท่านั้นเอง   เพลง คันหู นั้นไม่ว่าใครจะมองอย่างไรแต่ข้าพเจ้าก็มองว่ามันเป็นศิลปะอีกมุมหนึ่งที่คนไม่เคยชินอาจเข้าไม่ถึงหรือไม่เคยมองเห็นแต่สำหรับคนที่ตะลุยราตรีมาบ้างและไม่เดียงสากับชีวิตจนเกินไปก็จะเห็นว่าการแสดงแบบนี้เป็นสิ่งที่มีมานานและธรรมดาเหลือเกินในเมืองไทยเพียงแต่ว่าในขณะที่ศิลปะอย่างนั้นเฟื่องฟูประเทศเรายังไม่มีอินเตอร์เน็ตเท่านั้นเอง

ศิลปะกับความสัปดนเป็นของที่อยู่คู่กับคนไทยไม่ว่าจะเป็นภาพวาดในผนังโบสถ์ที่มีการเสพสังวาสหรือเปลือยร่างกายส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นของขลังที่มีทั้งปลัดขิกและเครื่องรางที่เป็นสัญลักษณ์ของเพศแม่   ไม่ว่าจะเป็นภาพยันต์ของม้าที่กำลังเสพสังวาสหรือศิลปะในการแสดงก็มีเพลงฉ่อยลำตัดก็มีหลายกลอนที่มีเนื้อหาทะลุทะลวงเกินคำว่าสองแง่สามง่าม  ยี่เกหรือโขนก็ยังมีการอนาจารหรือโคลงชั้นครูอย่างลิลิตพระลอก็เป็นวรรณกรรมตกขาว   สังคมไทยศิลปะอยู่คู่กับความสัปดนมานานเพียงแต่ในสมัยก่อนต้องใช้จินตนาการมากหน่อยเท่านั้นเอง   แม้แต่สิ่งที่เป็นประเด็นในวันนี้ในรายการวู้ดดี้เรื่องท่าเต้น  ท่าเต้นที่วันนี้เรียกว่า  "ศิลปะแขนงหนึ่ง"  แต่เมื่ออดีตกาลการเต้นนั้นเป็นสิ่งที่สังคมมองในด้านลบ

ไม่นับรวมการรำที่เป็นของคู่ชาติ  ในสมัยก่อนคนไทยก็มองว่าพวกเต้นกินรำกินเป็นคนนอกคอกเป็นคนไม่ดีแต่วันนี้การเต้นเป็นสิ่งที่นิยมในสังคม  แม้ท่าเต้นรูดเสาที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นของอนาจารทุกวันนี้ก็ยังมีคนดังตับเป็ดไปเรียน  เอากับมัน...

ข้าพเจ้าไล่เรียงมาเพื่อให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วสังคมไทยมันอยู่คู่กับคำว่า  อนาจาร  มาตลอดเพียงแต่ว่าผู้พูดจะหยิบมาใช้เมื่อไหร่ในยามที่เห็นสิ่งที่ตนไม่พอใจ   คำว่า อนาจาร  ในสังคมไทยทุกวันนี้ติดอยู่ที่ปลายริมฝีปากของคนแต่ไม่มีใครเลยที่เอ่ยคำนั้นจะมองไปถึงรากฐาน   เวลามีอะไรน่าเกลียดมาก็ยัดเยียดว่าเสื่อม  อย่างในยุคสายเดี่ยวครองเมือง  ศาสดาโบจอยซ์แห่งไทรอัมพ์คิงส์ดอมนั่นปะไร  

วันนี้เหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องจรดนิ้วลงบนแป้นอีกครั้งก็มีเหตุการณ์สืบเนื่องมาจากหลังชมคลิ๊ปรายการ วู้ดดี้เกิดมาคุย  จบ

เพราะเกิดความอึดอัดมากมายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในรายการไม่ว่าจะเป็นท่าทางของพิธีกรหรือแขกรับเชิญที่พิธีกรเชิญมาเพื่อด่าน้องผู้หญิงที่เต้นท่าคันหู   ข้าพเจ้าก็ยอมรับว่าข้าพเจ้าไม่ชอบท่าเต้นของน้องจ๊ะแต่ก็ดูเพื่อให้รู้ว่ามันมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในเมืองไทยและปิดคลิ๊ปไปก่อนจะคิดว่านั่นคือชีวิตของเขาและวิธีการในการดำเนินชีวิตของเขา  เขาทำงานของเขาและมันเป็นเรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องที่ต้องนำมาดุด่าว่ากล่าวหรือประจานให้เกิดความอับอายทั้งส่วนบุคคลและในส่วนสาธารณะ   เพราะท่าเต้นของน้องเขาถ้าพูดกันอย่างตรงไปตรงมาถ้าใครเคยผ่านชีวิตตอนกลางคืนเที่ยวผับบาร์เที่ยวบาร์โคโยตี้บาร์เลาจน์มาบ้างก็จะบอกได้ว่า  นี่คือเรื่องธรรมดาของคนในภาคส่วนที่หากินกับสภาวะแวดล้อมแบบนั้น  

การโชว์ของวงเทอร์โบเป็นลักษณะการโชว์ในสถานที่อโคจรที่มันมีขอบเขตบังคับว่าต้องแสดงอย่างไร   ถ้านักดนตรีนักร้องไม่ลวนลามแขกที่มาเที่ยวก็ต้องเจอแขกที่มาเที่ยวลวนลาม  มันเป็นปกติ  ถึงไม่เต้นแหกแข้งแหกขาแต่งตัวมิดชิดก็ยังเจอลวนลาม  แต่ถ้ามองในประเด็นว่าเสื่อมไหม  ข้าพเจ้าก็มองว่ามันไม่ค่อยดีนักแต่ก็ไม่ได้ว่าเสื่อมเพราะเมืองไทยมีเรื่องที่เสื่อมที่ต้องหยิบเอามาพูดกันมากกว่านี้   ข้าพเจ้ามองว่าท่าเต้นเหล่านี้ก็เป็นท่าเต้นที่หาตามดูได้ทั่วไปไม่ว่าจะชาติไหน   กันส์ แอนด์ โรส  เอกเซล โรส  นักร้องนำก็เต้นไม่ได้น้อยไปกว่าน้องจ๊ะ  ท่าลูบเป้าเขย่าก้นก็ไม่ได้น้อยหน้าและสัปดนน้อยไปกว่าใคร   เพียงแต่คนไทยส่วนหนึ่งชอบมองว่า  ฝรั่งอนาจารได้แต่คนไทยทำมันผิด  ทั้ง ๆ ที่เขาหลงลืมไปว่า  ฝรั่งหรือไทยมันก็คือคนต้องสูดออกซิเจนจากโลกเหมือน ๆ กัน  ฝรั่งหรือไทยมันก็คนต้องกินทางปากและขี้ทางตูดเพียงแต่คนเหล่านั้นชอบหลงคิดไปว่า  วัฒนธรรมไทยมันเป็นวัฒนธรรมที่ดีงามและวัฒนธรรมรับกับเรื่องเหล่านี้ไม่ได้

แต่อย่างที่ข้าพเจ้าเรียนไปข้างต้นว่า  คนที่คิดแบบนั้นเป็นพวกหลงตัวเองและคร่ำครึเพราะข้าพเจ้าก็เขียนพอคร่าว ๆ แล้วว่า  ในโบสถ์ที่มีพระประธานก็มีภาพหญิงสาวเปลือยนม  มีภาพหญิงชายเสพสังวาสหรือเกี้ยวพาราสีทั้ง ๆ ที่คนไทยชอบหลงตัวเองว่า  เมืองไทยเมืองพุทธ     วรรณกรรมของเราก็เหลวไหลมาเป็นร้อยปีขุนช้างขุนแผนเอยลิลิตพระลอเอย   แม้แต่พระอภัยมณีก็วิปริตเพราะให้คนเสพสังวาสได้แม้กระทั่งอมุษย์หรือเดรัจฉาน   การแต่งกายอีกเล่าเมืองไทยก็น้อยกว่าเขาเสียที่ไหนจนคนที่มาจากประเทศศิวิไลซ์ถึงกับดูถูกเราเอาว่าบ้านป่าเมืองเถื่อน   ในวันที่เราหลงตัวเองว่าเรามีวัฒนธรรม  ประเทศไทยมีวัฒนธรรมที่งดงาม  แต่คนอื่นมองว่าเราบ้านป่าเมืองเถื่อน   แต่เราก็หลอกตัวเองแล้วคิดเข้าข้างตัวเองว่าฝรั่งต่างหากที่ไร้วัฒนธรรมและวิตถารเสียเหลือเกิน

มันเป็นคำหลอกตัวเองที่คนไทยใช้ได้กับคนไทยเท่านั้นครับ   เพราะอย่างวันนี้วู้ดดี้เรียกครูเทียมมาด่าน้องพูดจาดูถูกต่าง ๆ นานา  ข้าพเจ้าอยากจะเรียนว่าครูเทียมไม่ควรอ้างถึงเรื่องอื่นใดเพราะเมื่ออดีตกาลครูเทียมก็เป็นคนนอกสังคมเป็นคนที่คนทั้งสังคมชี้หน้าว่าเป็นคนที่ทำให้สังคมเสื่อมทราม   ข้าพเจ้าอยากเรียนว่าข้าพเจ้าไม่ได้แอนตี้เพศที่สามแต่ประการใดแต่เพียงจะชี้ให้เห็นว่า  ครั้งหนึ่งในอดีตกาลพวกครูเทียมเองก็เป็นคนนอกสังคมเป็นคนที่ทั้งสังคมประณามว่าทำให้วัฒนธรรมเราขาดซึ่งความดีงามเป็นมนุษย์วิปริตที่จดจำเพศตัวเองไม่ได้  วันนี้คนเขายอมรับเพศของครูเทียม  ครูเทียมก็เสนอหน้าแทรกเข้ามาและฉวยโอกาสที่สังคมกำลังหลงตัวเองชี้หน้าด่าคนอื่นว่า  เสื่อมเสีย  ไม่มีศิลปะ  ไม่มีความงดงาม  บางประโยคบางคำพูดของครูเทียมด่าไปถึงโคตรเหง้าศักราชของเขา...   มันเป็นเรื่องอะไรกันเหรอครับ  ไม่ทราบว่าน้องจ๊ะไปฆ่ายกครอบครัวหรืออย่างไรถึงได้พูดจาเสียดสีคนทำมาหากินเสียเช่นนั้น








และมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ครูเทียมพูดว่า  "กล้าสาบานไหมว่าทุกคนที่เข้าไปดูไม่ได้ฟังเพลง  เขาไปดูท่าเต้น"   (เพราะครูเทียมเชื่อว่าทุกคนที่เข้าไปดูคลิ๊ปนั้นมันลามกเหมือนกันแบบไม่แยกหญิงชาย)  ข้าพเจ้าถ้าอยู่ในเหตุการณ์คงจะยกมือขึ้นเหนือศรีษะและขออนุญาตต่อประธานเพื่อพูดผ่านไปยังครูเทียมว่า  "สาบานกับกูไหม  เอาให้ตายหมดโคตรเลยนะ"   เพราะข้าพเจ้าเข้าไปดูเพราะไม่รู้ว่าทำไมคนมันพูดถึงเพลงนี้กันจังและคนรอบตัวข้าพเจ้าก็พูดถึงเพลงนี้แต่ไม่เคยพูดถึงท่าเต้น  ข้าพเจ้าเลยสงสัยและเข้าไปดูโดยไม่รู้ว่าเพลงนี้มีท่าเต้นเป็นอย่างไร  เมื่อเข้าไปดูแล้วก็ปิดเพราะไม่ชอบ  ข้าพเจ้าไม่ใช่คนดีมีศีลธรรม  ไอ้เต้นยั่ว ๆ อะไรก็ชอบดูเพียงแต่น้องจ๊ะเต้นไปแล้วไม่ได้สร้างจินตนาการทางเพศของข้าพเจ้าให้สูงขึ้นและไม่เกิดอารมณ์แต่อย่างใด  จึงดูเพื่อให้รู้ว่ามันมีเพลงแบบนี้บนโลกแล้วก็ปิดไป  จ้างให้เปิดซ้ำยังคิดดูก่อนเลย   ดังนั้นครูเทียมปากกล้าดีอย่างไรถึงตู่เอาว่าคนทั้งสิบล้านที่เข้าไปดูเพลงนี้ต้องการเพียงแต่จะดูท่าเต้น...   แต่ดีแล้วครับที่ไม่มีการสาบานกัน   เพราะข้าพเจ้าเองก็ไม่ต้องการให้คนมีฝีมืออย่างครูเทียมตายทั้งโคตร   เพียงแต่บอกไว้เพื่อให้รู้ว่า  อย่าคิดว่าคนทั้งสิบล้านจะบ้าตัณหาเหมือนกันหมด  อย่าคิดว่าคนทั้งสิบล้านจะมีความคิดต่ำ ๆ แบบครูเทียมเสียหมดเท่านั้นเอง








แต่สุดท้ายคนที่ต้องถูกตำหนิมากที่สุดในวันนี้ก็คือ  พิธีกรชื่อดังก้องโลกอย่าง  วู้ดดี้  ผู้ที่กำลังคิดว่าตัวเองเป็นพิธีกรที่เหนือกว่า โอปราห์ วินฟรี่ย์  ข้าพเจ้าดูรายการนี้แล้วคิดได้อย่างเดียวคือ  วู้ดดี้จับน้องจ๊ะมานั่งให้คนด่าและด่าพาลไปถึงโคตรเหง้าศักราชของเธอด้วย  มันเป็นการกระทำที่ไร้สามัญสำนึกและความรู้สึกของความเป็นคน  เมื่อพูดถึงสามัญสำนึกแล้วข้าพเจ้าคงไม่ทวงถามถึงความเป็นสุภาพบุรุษของนายวู้ดดี้อีก   เพราะสามัญสำนึกไม่มีคงไม่ต้องไปถามหาอะไรที่เหนือกว่านั้น   เมื่อดูคำพูดบวกท่าทางที่พูดเป็นการส่วนตัวกับน้องจ๊ะด้วยแล้วข้าพเจ้าแทบจะนึกไม่ออกเลยว่าคน ๆ นี้น่ะเหรอที่เป็นพิธีกรที่หลงตัวเองว่าเป็นเบอร์หนึ่งของเมืองไทย  

นิยามของนายวู้ดดี้ในคืนนี้คือ  "คำพูดทราม  ท่าทางไพร่"  

คุณวู้ดดี้พยายามพูดว่าจะหาทางออกให้สังคมพยายามจะพูดให้คนทั้งประเทศเห็นว่านี่คือปัญหาที่ต้องเอามาบอกเล่าเก้าสิบให้สังคมได้รับรู้และยอมรับถึงปัญหาพร้อมทั้งหาทางแก้ไข   แต่ข้าพเจ้าอยากเรียนว่า  ถ้าเรื่องนี้วู้ดดี้ไม่เอามาออกรายการเสีย  เรื่องนี้ก็คงค่อย ๆ เงียบหายไปเหมือนกรณีเพลงวิตถารท่าเต้นสัปดนอื่น ๆ เหมือนที่สังคมไทยได้เคยผ่านมา   มันจะเป็นแค่ความทรงจำในช่วงหนึ่งที่มาเป็นกระแสให้สังคมฮือฮาแต่คงไม่มีใครเลียนแบบไปให้เป็นสันดานติดตัว   แต่การที่วู้ดดี้เอาออกรายการเช่นนี้มันยิ่งทำให้คนที่ไม่ได้รู้ก็รู้  คนที่ไม่เคยเห็นก็อยากเห็น  เรื่องที่ควรจะจบไปแล้วก็เลยยังเป็นเรื่องที่ยังไม่จบ   ซ้ำร้ายเรื่องนี้ก็ไม่ได้ทางออกอะไรเลยเพียงแต่จะได้ความสะใจของใครบางคนที่ได้จับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกับคน ๆ หนึ่งที่ทำมาหากินอย่างบริสุทธิ์มาจับมัดแขนขาแล้วให้คนอื่น ๆ มากระทืบอย่างสาสม

แต่ข้าพเจ้าดีใจอย่างยิ่งที่เสียตอบกลับของคนไทยในสังคมนี้ไม่ได้ไร้เดียงสาอย่างที่วู้ดดี้และผู้ร่วมรายการที่เขาเชิญมามอง   สังคมจึงตอบกลับอย่างเจ็บแสบได้มีการต่อต้านและด่าทอนายวู้ดดี้และครูเทียมอย่างเผ็ดร้อน   มันอาจไม่ใช่สังคมในฝันของวู้ดดี้และในความจริงก็ไม่ใช่สังคมในฝันของใครหลาย ๆ คน   เพราะแม้นมีคนออกมาต่อต้านวู้ดดี้แต่ก็มีบางคนที่ออกมาด่าทอน้องจ๊ะอย่างเมามัน  โดยหลงลืมไปว่า  การโชว์นั้นคือการหากินที่สุจริตอย่างหนึ่งโดยที่ไม่ต้องไปแย่งขนมหมากิน   ข้าพเจ้ามองไม่ออกว่าการเต้นยั่วยวนนั้นเลวร้ายกว่าการกินขนมหมาเรียกเรตติ้งอย่างไร   การเต้นยั่วยวนของน้องจ๊ะข้าพเจ้าก็ยังเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่ามันเป็นการกระทำที่มีศักดิ์ศรีกว่าการเรียกหมาว่าคุณและกินขนมของหมาเพื่อประจบเอาใจเจ้านายของสุนัขตัวนั้นด้วยซ้ำไป   เพราะข้าพเจ้ามองว่าน้องจ๊ะแม้เขาต้องเต้นท่าที่น่าอายในสายตาของใครบางคนแต่มันก็เป็นการพึ่งลำแข้งตัวเองหากิน  ใช้ความสามารถ  ไม่ได้ขายศักดิ์ศรีให้สุนัขและขายความเป็นคนเพื่อค่าโฆษณา  

เรื่องนี้ข้าพเจ้ามองว่า  มันเป็นของคู่โลก  ไม่ว่าที่ไหนในโลกนี้ก็ต้องการที่จะชมก็ต้องการที่จะเห็นการเต้นและการแสดงแบบนี้   แม้ในสังคมไทยที่อ้างว่าตนเป็นเมืองพุทธมีวัฒนธรรมที่สวยงามเลิศล้ำ   แต่ก็น่าแปลกที่ประเทศของเราแม้อ้างว่าเป็นชาติที่มีวัฒนธรรมมีศีลธรรมจรรยาแต่คนในชาติกลับนิยมดูการเต้นเชิงนี้และนิยมฟังเพลงที่มีเนื้อหาสองแง่สามง่าม   ข้าพเจ้าเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าถ้าคนในชาติเรามีศีลธรรมจริงเพลงคันหูคงขายไม่ได้และเป็นข่าวฮือฮาได้รับความนิยมอย่างทุกวันนี้หรอก  แต่ในทางกลับกันจะมองว่าคนในชาติเราเลวทรามก็หาได้ไม่ที่มีจิตฝักใฝ่ชื่นชอบเพลงแบบนี้   ว่าไม่ได้เลย...

เพราะมันเป็น  ธรรมชาติของมนุษย์  ที่นิยมของตื่นตาตื่นใจและทำให้หัวใจเต้นแรง

มีเพียงอมนุษย์เท่านั้นแหล่ะที่มองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องผิดปกติ  เป็นความเสื่อม  มองว่าเป็นสิ่งที่ไร้วัฒนธรรมหรือศิลปะชั้นต่ำ   เพราะจริง ๆ แล้วศิลปะมันอยู่ที่คนทำไม่ใช่คนดู   แม้ศิลปะที่ทำเพื่อการเลี้ยงปากท้องก็นับว่าเป็นศิลปะชั้นดี   แต่ศิลปะการกินขนมหมานี่สิ...  ช่วยบอกทีเถอะวู้ดดี้  มันเป็นศิลปะชั้นดักดานอันใดกัน

เจริญพร

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ฤ ว่า ถูกแช่งเพียงเพราะงี่เง่า






ไม่ทราบว่าเพราะประหยัดมากไปหรือกินตับหมูมากเกินจนเกิดปฏิกิริยากับน้ำเชื้อ  จักรพรรดิเต้ากวงจึงได้มีพระโอรสที่อ่อนแอและพระโอรสองค์ที่อ่อนแอนี้ก็ได้เป็นฮ่องเต้ต่อจากพระองค์  ทรงพระนามว่า...  จักรพรรดิเสียนเฟิง  เป็นกษัตริย์จีนอีกพระองค์ที่ขึ้นสู่บัลลังก์ด้วยนิยายปรัมปรา   ในประวัติศาสตร์จีนมักจะมีนิทานปรัมปราคู่บัลลังก์นิทานนั้นมีอยู่ว่า  ฮ่องเต้พระองค์หนึ่งมีลูกชายที่เล็งไว้แล้วว่าจะให้สืบทอดบัลลังก์ต่อจากพระองค์สององค์  องค์หนึ่งเก่งกาจบู๊บุ๊นอีกองค์มักจะป่วยไข้เจ็บออด ๆ แอด ๆ และจะมีฉากต่อไปว่าฮ่องเต้จะจัดงานล่าสัตว์ขึ้น  องค์ชายองค์หนึ่งจะได้สัตว์มาล้นเข่งแต่อีกองค์จะไม่ได้เลยแล้วบอกว่า...

"นี่เป็นฤดูที่สัตว์มักผสมพันธ์  ลูกเห็นว่ามันเป็นการโหดเหี้ยมที่จะฆ่าสัตว์เหล่านั้น  เลยไม่ได้ล่ามา"  

คำตอบอย่างนี้ดูเหมือนเป็นคำตอบที่ดูดีมีเมตตาแต่จริง ๆ แล้วมันเป็นแค่คำตอบที่เสี้ยมที่สอนกันมาโดยที่ปรึกษาขององค์ชายซึ่งในประวัติศาสตร์มีเรื่องเล่าแบบนี้ไม่ต่ำกว่าสี่เรื่อง  แม้แต่ในชุนชิวถ้าข้าพเจ้าเข้าใจไม่ผิดและจำไม่พลาดก็มีเรื่องเช่นนี้เหมือนกัน   นั่นคือที่มาของจักรพรรดิเสียนเฟิง  จักรพรรดิผู้ทรงอัปยศที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติจีน  เพราะในสมัยเสียนเฟิงนี้เองที่รับช่วงความอ่อนแอมาจากพระราชบิดา  ความเสียหายจากสงครามฝิ่นและยังมามีเรื่องกับอังกฤษและฝรั่งเศสในสมัยปรัตยุบันทำให้เสียดินแดนเพิ่มต้องเผชิญหน้ากับการกดขี่ของต่างชาติและเสียเมืองท่าสำคัญมากมาย  มีศึกประชิดติดกรุงจนเป็นกษัตริย์เพียงไม่กี่องค์ของแผ่นดินจีนที่ต้องลี้ภัยต้องออกจากวังต้องห้ามเพื่อหนีตาย   นับว่าเป็นความอัปยศมาก   เพราะคนเป็นกษัตริย์ถ้ารักษาแผ่นดินของตัวเองไว้ไม่ได้แล้วไม่ว่าจะเชิงสัญญาเช่าหรือเสียถาวรก็ไม่ควรจะมีหน้ามาปกครองแผ่นดิน

เราหยุดเรื่องไว้แต่เพียงนี้ก่อนเพราะเรื่องที่ข้าพเจ้าจะเขียนถึงนั้นเป็นเรื่องของคน ๆ หนึ่งชื่อ เปอะจุ้น  คน ๆ นี้เป็นถึงมหาบัณฑิตในราชสำนักมียศอำมาตย์ช่วยกิจการบ้านเมืองมากมาย   เป็นคนดีที่ไม่ต้องประกาศเพราะชาวบ้านรากหญ้าต่างยกย่องและเป็นคนที่บัณฑิตนิยมแม้บัณฑิตเร้นกายก็ยังชื่่นชอบ   ในยุคนั้นคนมีความรู้ความสามารถเบื่อหน่ายกับราชสำนักที่ฟอนเฟะและเต็มไปด้วยระบบพวกพ้องจึงชังการเป็นขุนนาง   แต่ถ้ามีประกาศว่า เปอะจุ้น เป็นผู้คุมสอบบัณฑิตเหล่านั้นก็พร้อมออกมาจากม่านกำบังและสอบเข้ารับราชการเพราะเชื่อถือว่าจะได้รับความเป็นธรรมและการตัดสินของเปอะจุ้นก็ไม่มีการเอาพวกพ้องเป็นเกณฑ์   แต่ตำแหน่งแม่กองคุมสอบนี้ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ค่อยจะมีใครอยากรับตำแหน่งเพราะถือว่าโกงกินได้น้อยแต่ถ้าคนมองการณ์ไกลก็จะทราบว่าราชสำนักแมนจูนั้นมีโครงสร้างที่เอื้อกับระบบพวกพ้อง   ถ้าได้เป็นแม่กองคุมการสอบบัณฑิตก็จะยิ่งทำให้ตัวเองมีอำนาจและบารมีมากขึ้นในทันทีเช่นกัน  

ในเวลานั้นราชสำนักมีกังฉินหน้าใหม่ป้ายแดงเพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาเขามีนามกรว่า ซูซุ่น  คนผู้นี้มีจิตใจมักใหญ่ใฝ่สูงในหัวสมองเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมคิดทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้เป็นใหญ่ไม่มีการเลือกวิธี   ใครขวางทางจะถูกเขาใส่ร้ายและกำจัดทิ้งอย่างเหี้ยมโหด   ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่ซูซุ่นกำจัดทิ้งมักเป็นคนที่ทั้งแผ่นดินยกย่องว่าดี   ซูซุ่นไม่เพียงแต่โหดร้ายแต่เขายังอกตัญญูอีกด้วยเพราะเมื่อพูดถึงซูซุ่นก็ต้องพูดถึงคนดีศรีต้าชิงอย่าง อ๋องกง  คนนี้เป็นพี่น้องกับองค์เสียนเฟิงแต่ก็ต้องถูกบีบให้ออกจากราชการงานเมืองเพราะเจอคนอย่าง ซูซุ่น เล่นงานใส่ร้าย  ถ้าคนอ่านประวัติศาสตร์ยุคนี้ก็จะเห็นว่าความอัปยศที่เกิดขึ้นในยุคนี้นับได้ว่าเป็นความผิดพลาดของซูซุ่นถึงกว่าแปดสิบเปอร์เซนต์   เพราะความเอาพวกพ้อง  อยากได้หน้า  นิสัยชอบเพ็ดทูลใส่ร้ายคนดี  ทำให้แผ่นดินอ่อนแอจนเสียเปรียบต่างชาติและเกิดกลียุคในประเทศ   คงไม่ผิดนักที่จะบอกว่า ซูซุ่น คือตัวการทำให้ราชวงศ์ชิงต้องเจอทั้งศึกในและนอก   แต่ประกอบกับว่าฮ่องเต้ก็โง่งี่เง่า  สุขภาพก็ไม่ดีปัญญายังอ่อน  แผ่นดินจึงไม่มีเสาหลักคอยคุ้มกัน  

ในยามนั้นซูซุ่นต้องการขยายบารมีและอิทธิพลของตนเองจึงหมายมั่นที่จะได้ตำแหน่งหรือเพียงให้คนของตนเองได้ตำแหน่งแม่กองคุมสอบ   แต่มีพระราชโองการไปแล้วว่าให้ เปอะจุ้น เป็นคนคุมอีกและเปอะจุ้นก็เป็นคนของอ๋องกงที่ตนเกลียดชังจึงหาทางใส่ร้ายป้ายสี   ซูซุ่นสร้างแผนการและใช้เส้นสนกลในจึงทำให้เกิดความผิดพลาดในการสอบ   จอหงวนในปีนั้นได้แก่คนแบกเกี้ยวที่ไม่มีความรู้จึงเป็นที่ติฉินของเหล่าบัณฑิตและผลตรวจสอบก็เป็นความผิดพลาดจริง ๆ แต่มิใช่เป็นความผิดพลาดโดยตรงของเปอะจุ้น   แต่ซูซุ่นก็ไม่ปล่อยโอกาสเพ็ดทูลต่าง ๆ ยัดเยียดข้อหาต่าง ๆ จนเปอะจุ้นต้องถูกลงโทษอย่างไม่เป็นธรรม   โทษของเปอะจุ้นเพียงเล็กน้อยแค่ริบทรัพย์สินก็ถือว่าหนักหนาแต่ซูซุ่นดำเนินการเพ็ดทูลให้องค์กษัตริย์ที่สุขภาพไม่ดีและยังงี่เง่าจนดำเนินการประหารเปอะจุ้นเป็นผลสำเร็จ

แผ่นดินทุกแผ่นดินนั้นย่อมมีกังฉินตัวใหญ่บ้างเล็กบ้างขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของเจ้าแผ่นดิน   ถ้าเจ้าแผ่นดินอ่อนแอกังฉินตัวนั้นก็จะดูใหญ่คับบ้านคับเมือง  ถ้าเจ้าแผ่นดินแข็งแรงกังฉินตัวนั้นอาจถูกปราบเบ็ดเสร็จหรือไม่กล้าบังอาจทำตัวเลวทรามหรือไม่ได้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งสำคัญ   อย่างเช่นยุคของ หย่งเจิ้น คังซี  จะเป็นยุคที่ไม่มีกังฉินตัวฉกาจฉกรรจ์เลยเพราะถึงมีก็เจอความเข้มแข็งและสติปัญญาที่เฉียบคมของเจ้าแผ่นดินกำราบลงได้อย่างง่ายดาย   กษัตริย์ทุกพระองค์มักนิยมให้ขุนนางและอำมาตย์เทิดทูนชอบเสพคำสรรเสริญเป็นอาหารว่างยามจิบชา  นอกจากคำว่า "ทรงพระเจริญ"  ก็ยังมีคำว่า  "ทรงพระปรีชาสามารถ"  ทั้ง ๆ ที่เรื่องที่เสนาอำมาตย์เหล่านั้นชมก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ใครก็ทำได้แต่เหมือนว่าสัตว์โลกที่มีฐานะเป็นฮ่องเต้นั้นจะชอบและดื่มด่ำกับคำนั้นจนทำให้หลงตัวเองว่าข้าเก่งข้าแน่เสียเหลือเกิน   ทั้ง ๆ ที่พอเรื่องบางเรื่องหลุดรอดออกมาสู่ชาวบ้านแล้วเขาจะแสยะปากแล้วพูดว่า  "ปัญญาอ่อนก็ตามที"   เพราะถ้าฮ่องเต้ปรีชาสามารถจริงคงไม่ปล่อยให้มีอำมาตย์เหิมเกริมกลั่นแกล้งประชาชนและแกล้งคนดี   ถ้าฮ่องเต้ปรีชาสามารถจริงคงไม่ให้คนสารเลวได้ดีและยกให้เป็นที่เคารพของประชาชนทั่วไป   แต่เพราะฮ่องเต้ปัญญาอ่อนซ้ำยังสุขภาพไม่ดี   อำมาตย์จึงเหิมเกริม  เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าสมัยเสียนเฟิงฮ่องเต้นั้นช่วงบั้นท้ายของพระองค์เจอโรครุมเร้าจนให้ซูซุ่นได้บริหารงานแทนความเหิมเกริมของมันจึงมากเป็นทวีคูณ

จุดจบของซูซุ่นสุดท้ายแล้วก็ลงเอยเหมือนดั่งเหอเซินและจบชีวิตเหมือนกังฉินทั่ว ๆ ไปในแผ่นดินจีน   แต่ต้องยกมาเปรียบกับเหอเซินเพราะว่าซูซุ่นในแผ่นดินเก่า  แผ่นดินของเสียนเฟิง ฮ่องเต้ผู้มีสุขภาพอ่อนแอและปัญญาอ่อนนั้นฮ่องเต้ได้ให้ท้ายและหลงเชื่อมากมายทำให้คนดี ๆ ไม่อาจกำจัดมันลงได้   เช่นเดียวกับเหอเซินเลวแสนเลวชั่วแสนชั่วแต่อยู่ในแผ่นดินเฉียนหลงแม้มีความผิดก็ไม่อาจลงทัณฑ์   แต่พอสิ้นรัชกาลก็เจอบาปกรรมตามตัว   แต่ผลกรรมความแค้นความเจ็บปวดเหล่านั้นไม่ได้เพียงแค่ตกอยู่กับกลุ่มขุนนางหากแต่ตกมาถึงชาวบ้านที่เจอขุนนางชั่วนั้นกดขี่  ที่ต้องรอคอยเพียงแต่ว่าเมื่อไหร่จะเปลี่ยนแผ่นดินคนเหี้ย ๆ ถึงจะตายเท่านั้นเอง   ในยุคของเสียนเฟิงและเฉียนหลงชาวบ้านผู้เดือดร้อนแม้ไม่ได้เกลียดฮ่องเต้เป็นการส่วนตัวแต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าก็ต้องมีการสาปแช่งให้เฉียนหลงและเสียนเฟิงตาย   เพราะฮ่องเต้สององค์นั้นให้ท้ายและโง่เง่าที่ปล่อยให้ขุนนางเลว ๆ ครองเมือง

จริงไหม ...

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

แม้แต่กฏมณเฑียรบาลก็แก้ได้ ถ้ามันยังประโยชน์มาให้แก่ผู้แก้






สืบเนื่องจากตอนที่แล้ว  ตอนไหน ?  ก็ตอนที่ข้าพเจ้าเขียนถึงฮ่องเต้ผู้เป็นยอดแห่งความประหยัดอย่างไร...   วันนี้ข้าพเจ้าก็จะกล่าวสืบเนื่องในเหตุการณ์ยุคนั้น  เมื่อฮ่องเต้เต้ากวงเริ่มประหยัดเริ่มปฏิวัติครัวหลวงท่านก็ไปต้องลิ้นกับอาหารอย่างหนึ่งซึ่งเรียกว่า ตับหมูยัดไส้  ท่านได้สั่งให้คนออกไปดูและจดจำวิธีการทำอาหารของร้านนั้นและนำมาปรุงในวังเพื่อเป็นการประหยัด   เพราะท่านคิดเอาเองว่าอาหารชาวบ้านต้องธรรมด๊าธรรมดาไม่แพงเลิศหรือราคาหูฉี่นัก   และคาดว่าท่านคงทรงโปรดปรานอาหารชนิดนี้เป็นทุนเพราะมิฉะนั้นแล้วก็คงไม่สามารถกินได้ทุกวันอย่างแน่นอน   แต่เมื่อบัญชีรายรับรายจ่ายออกมาท่านก็ต้องตบโต๊ะผางแล้วกริ้วหนักเพราะค่าใช้จ่ายไม่ได้น้อยลงเลยแต่กลับกลายเป็นแพงกว่าเดิมท่านจึงเรียกคนมาถามซึ่งเหตุผล   ท่านจึงได้รับคำตอบว่าตับหมูที่ทำในวังนั้นต้องแพงเพราะ  หมูตัวเดียวมีตับหนึ่งอัน  เมื่อจะเอาตับก็ต้องฆ่าหมู

"แล้วเนื้อหมูล่ะวะ  เนื้อหมูหายไปไหน"  เต้ากวงโกรธพิโรธเอามือชี้หน้าเสนา

"เนื้อหมูก็ต้องทิ้งไปเพราะกฏมณเฑียรบาลของเรา  ไม่มีใครกินของที่ทำถวายองค์ฮ่องเต้ต่อได้พะยะมะห่ะ"  เสนาว่า

"แล้วทำไมเนื้อหมูไม่เอามาทำอาหารอะไรอย่างอื่นเล่า"  ฮ่องเต้เริ่มโมโหมากขึ้น

"เพราะพระองค์ไม่ได้สั่ง"  เสนาตอบ

"ไอ้สัตว์"  ฮ่องเต้ว่า

ดังนั้นท่านจึงสั่งให้ปิดครัวไปเลยถ้าคนรับคำสั่งมันโง่เง่าเต่าตุ่นอย่างนี้แทนที่จะได้ของถูกกลับแพง  ตับหมูยัดไส้  ชาวบ้านซื้อกินชามละไม่กี่บาทกี่เฟื้องกลับกลายเป็นแพงเกินราคาที่คาดการณ์ก็ต้องปิดครัวไปจึงจะดีแล้วท่านก็สั่งว่า  ต่อจากนี้ไปไม่ต้องให้ครัวหลวงทำอะไรไม่ต้องสั่งของเข้ามาเพราะถ้าฮ่องเต้และสนมนางในจะกินอะไรก็ไปซื้อเอาจากข้างนอก   แต่การก็ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้นเพราะมีกฏมณเฑียรบาลเขียนไว้เป็นตัวอักษรชัดว่า  "ห้ามฝ่ายในซื้อของหรืออาหารเข้ามาจากภายนอก  อาหารการกินของฝ่ายในต้องทำออกมาจากครัวหลวงทั้งสิ้น"   กฏนี้มีมาตั้งแต่สมัยไหนข้าพเจ้าไม่ทราบแต่คิดว่าจำเป็นต้องมี   เพราะภัยอันตรายมันเยอะไม่เหมือนอาหารที่มาจากฝ่ายในที่คัดสรรแล้วแต่ของดี ๆ อาหารแต่ละอย่างแต่ละชิ้นต้องตรวจสอบละเอียดยิบว่ามีเมลามีนหรือสารตกค้างกระทั่งสารพิษไหม   เพื่อความปลอดภัยของฮ่องเต้และโคตรวงศ์  ดังนั้นสิ่งที่เต้ากวงคิดจึงเป็นไปไม่ได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน

แต่ก็ไม่ลำบากอะไรเมื่อเต้ากวงย้อนถามว่า  "กฏมณเฑียรบาลมีไว้เพื่ออะไร"

"มีไว้เพื่อทำนุบำรุงและปกป้องพระองค์พระเจ้าข้า"

"ดี  ถ้าอย่างนั้นก็แก้ซะ  เพราะการที่ข้าต้องการให้ไปซื้อของสำเร็จรูปมาแดกเพื่อรักษาดุลย์การเงินในวัง"

"มันเป็นกฏมณเฑียรบาลพระเจ้าข้า  แก้ไม่ได้ง่าย ๆ "

"กฏมณเฑียรบาลสร้างขึ้นโดยใคร"

"โดยบูรพกษัตริย์องค์ก่อน ๆ พระเจ้าข้า"

"ดังนั้นข้าก็มีสิทธิที่จะแก้ได้เพราะข้าคือกษัตริย์ปรัตยุบัน"  (เอากับมันซิ)

สุดท้ายกฏมณเฑียรบาลข้อนั้นก็ถูกลบออกอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้กำลังภายในใด ๆ ผลักดันเลย   ฮ่องเต้บอกว่าให้แก้ไขก็ต้องแก้ไขหรือใครจะกล้าเถียง...

ถ้าใครดูละครพีเรียดมาบ้างก็จะทราบและเคยเห็นผ่านหูผ่านตามาบ้างว่าละครหลายเรื่องตัวละครหลายตัวมีปัญหากับกฏมณเฑียรบาลมากมายเหลือเกิน   ซึ่งแต่ก่อนคนไทยอาจจะได้เห็นจากแค่ละครจีนแต่วันนี้ละครเกาหลีเข้ามาเราก็คงได้เห็นจากละครเกาหลีมากมายพอดู   กฏมณเฑียรบาลบางทีก็เป็นปัญหามากกว่าจะเป็นประโยชน์แต่จะไม่มีมันก็ไม่ได้เพียงแต่ถ้าคนรู้จักผ่อนปรนไม่ใช่ปล่อยให้กฏมารัดคอมันจะเป็นสิ่งที่ดี   และที่สำคัญกฏนี้มันสร้างขึ้นด้วยคนดังนั้นถ้ามันจะแก้ไขก็ต้องเป็นคนและตั้งแต่ดูมาก็เห็นแก้กันได้เกือบทุกเรื่องแม้กฏสำคัญอย่างหนึ่ง  

ในยุคต้นราชวงศ์ชิงมีกฏข้อหนึ่งคือ  "ห้ามเชื้อพระวงศ์แต่งหญิงฮั่น"  เพราะในยุคแรกนั้นนูรฮาฉีกับหวงไท้จี๋เป็นไท่จงไท่จู้ได้เล็งเห็นว่าการแต่งเอาชาวฮั่นเข้ามาในราชวงศ์จะเกิดปัญหาเพราะระยะแรกแมนจูยังไม่แข็งแรงและเสถียรภาพถ้าแต่งหญิงฮั่นเข้าวงศ์มาจะทำให้เลือดแมนจูแท้ ๆ เสียไป  ที่เขากลัวเช่นนั้นเพราะกลัวว่าถ้าเผลอไปมีกษัตริย์เป็นเลือดชาวฮั่นแล้วกษัตริย์คนนั้นจะรักษาผลประโยชน์ฮั่นมากกว่าแมนจูนั่นเอง   แต่สุดท้ายแล้วก็กฏที่ดูเหมือนจะสำคัญมากนี้ก็ต้องถูกแก้ไขในรัชสมัยคังซีเพราะพระองค์นิยมในตัวหญิงฮั่นมากเมื่อย่าของพระองค์ตายไปแล้วจึงแก้กฏนี้โดยให้เหตุผลว่า  "ฮั่นกับแมนจูพี่น้องกันใช่ใครอื่น"  แต่คังซีก็ระมัดระวังในการคัดเลือกผู้สืบสานสันตติวงศ์ปัญหาที่น่ากลัวจึงไม่เกิดขึ้น  แต่สุดท้ายก็มีข่าวลือและตำนานมากมาย  โดยเฉพาะมีคนเชื่อว่า  ฮ่องเต้หย่งเจิ้นและเฉียนหลงเป็นลูกผสมชาวฮั่นหาใช่แมนจู 

สิ่งที่ข้าพเจ้าจะสื่อออกมานั้นเพียงเพราะอยากให้เห็นว่ากฏทุกอย่างบนโลกนี้ไม่ว่าใครจะมองว่ามันหนักแน่นปานขุนเขาหรือบางเบาเพียงขนนกมันสามารถแก้ได้หมดสิ้นถ้าคนจะทำและมีเหตุผลพอไม่ว่าจะเป็นกฏหมายหรือกฏมณเฑียรบาล  ประวัติศาสตร์สอนให้ข้าพเจ้ารู้ว่าไม่มีอะไรที่แก้ไขไม่ได้เพียงแต่คนจะกล้าแก้มันหรือไม่และบุคคลที่เกี่ยวข้องต้องการแก้หรือไม่เท่านัน้เอง  แต่ประวัติศาสตร์ก็สอนข้าพเจ้าอยู่เองเหมือนกันว่า  การแก้กฏหมายต่าง ๆ นั้นโดยเฉพาะกฏมณเฑียรบาลผู้ที่จะแก้ไขคือต้องการใช้ประโยชน์และมีผลประโยชน์ที่ตัวเองต้องการหรือเรียกได้ว่าแก้เพื่อสนองความสุขของตน   คังซีแก้เพื่อจะเอาเมียฮั่น  เต้ากวงแก้เพราะจะได้กินตับหมูราคาถูก   ก็ไม่ต่างจากประเทศอื่น ๆ และที่อื่น ๆ ที่มีกฏหมายว่าด้วยกฏมณเฑียรบาล  บางแห่งละเมิดกฏนั้นเสียเฉย ๆ อาทิว่า  แต่งงานออกไปแล้วถือว่าสิ้นฐานันดรศักดิ์ทุกอย่าง  แต่เอาเข้าจริงไม่มีที่ไปกลับมา ณ ประเทศสารขัณฑ์ก็บังคับให้คนกราบไหว้เหมือนเดิม  ทั้ง ๆ ที่มีข้อกำหนดชัดเจนว่าแม้เป็นเจ้าแต่ถ้าแต่งออกไปก็สิ้นฐานันดรศักดิ์ถือว่าเป็นคนธรรมดา    กฏมณเฑียรบาลบางประเทศแก้กันง่าย ๆ อย่างนั้นและตีลูกมั่วนึกว่าประชาชนไม่จดจำ   แต่ในการกลับกันกลับไม่มีการแก้กฏหมายบางข้อที่ส่งผลกระทบถึงผู้คนทั้งประเทศโดยตรงโดยอ้างว่า...  "มันคือกฏหมายสำคัญและเพื่อดำรงไว้ซึ่งความถูกต้อง"

แต่ไอ้ที่แก้ไปแล้วหรือทำเนียนไปแล้วบ้าง...  อันนั้นไม่นับใช่หรือไม่...

แต่ข้าพเจ้าก็พอเข้าใจเพราะบางประเทศนั้นคำว่า กฏหมายเป็นเหมือนคาถาที่เอาไว้กันผีและผู้ที่ถือมันและบังคับใช้ก็ไม่ต่างจากหมอผี   ถ้าผีไม่ลงหม้อก็เอาข้าวสารเสกสาดถ้าผีไม่ลงหม้อก็เอาหวายตีโดยที่หมอผีคนนั้นต้องการเพียงน้ำมันพรายจากบรรดาผีที่เขาทารุณกรรม   มันคือความไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งของโลกและสังคม

เมื่อสิ้นราชวงศ์แมนจูเรื่องเล่าเหล่านี้ก็กลายเป็นเพียงเรื่องเก่าเก็บที่ไม่ได้มีสาระสำคัญอันใด  ไม่จำเป็นต้องเอามาหยิบอ่านซ้ำเพื่อตอกย้ำความเป็นไปในสังคมหรือบางคนก็อาจจะบอกว่ามันเป็นเรื่องของประเทศจีนไม่ได้เกี่ยวกับไทย   แต่ถ้าเรามองและหยิบจับเอาแต่เพียงประเด็นก็จะเห็นถึงความคล้ายคลึงและนัยยะสำคัญโดยเฉพาะ  "คนที่คิดจะแก้กฏหมายหรือกฏมณเฑียรบาลต้องได้ประโยชน์จากมันหรือต้องการเพียงจะหาประโยชน์และโกยความสุขใส่ตน"   นี่คือพฤติกรรมที่เหมือนกันทั้งไทยจีน

วันนี้กฏหมายหลายมาตราของเราไม่เป็นธรรม  แม้กระทั่งตัวรัฐธรรมนูญก็มีคนเรียกร้องให้ปรับเปลี่ยนปรับปรุงแก้ไข   แต่ก็มีพวกเต่าล้านปีออกมาต่อต้านทั้ง ๆ ที่วันหนึ่งมันรับของโจรและส่งเสริมให้ฉีกรัฐธรรมนูญด้วยซ้ำไป   และวันนี้ประเทศเราก็มีการต่อสู้เรื่องกฏหมายบางมาตราที่ไม่เป็นธรรมและแน่นอนก็มีพวกเต่าล้านปีออกมาโต้ว่า  "มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้"  ทั้ง ๆ ที่คนเรียกร้องไม่ได้ต้องการให้ยกเลิกเพียงแต่ให้มีการปรับปรุงและทำให้ชัดเจน   แต่ก็เป็นเรื่องยากเพราะบังเอิญว่าคนถือกฏหมายและคนที่มีสิทธ์จะแก้กฏหมายนี้ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรกับการกระทำ   แม้เพียงจะให้กฏหมายถูกบังคับใช้อย่างเป็นธรรมยังไม่เคยจะมี  

คนพูดผิดพลาด  ติดคุก  คนพูดลิเก  ติดคุก  ศัตรูคนไม่ชอบหน้า  แกล้งให้ติดคุก  แต่ถ้ากฏหมายนี้มีการบังคับใช้อย่างเป็นธรรมแล้วล่ะก็จะเห็นได้ชัดว่าแม้คนที่ไม่ใช่แดงก็ต้องเข้าคุกกันอีกมากหลายทีเดียวแต่วันนี้กฏหมายตัวนี้ปฏิรูปปรับปรุงไม่ได้เพราะมันเป็นกฏหมายที่เอาไว้กลั่นแกล้งคนเสื้อแดงและเป็นกฏหมายที่ใส่ร้ายคนเสื้อแดงที่ดีที่สุด

ดังนั้นถ้าคนแก้กฏหมายหรือเพียงปรับปรุงต้องเสียอำนาจที่ต้องการไป  แล้วจะมีการแก้ไขได้อย่างไรใครเล่าจะยอมเสียผลประโยชน์ของตนเอง  จริงไหมพระคุณท่าน...

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ประหยัดหรือแค่สร้างภาพว่าประหยัด แต่สุดท้ายรับผลเหมือนกัน

ในราชวงศ์แมนจู  ข้าพเจ้ายกเรื่องราวต่าง ๆ มาเล่ามากมายแล้วซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็รู้เพราะเรือ่งที่เขียนนั้นก็เป็นประเด็นใหญ่ที่อ่านเจอได้แม้กระทั่งจากหนังสือคู่สร้างคู่สม  แต่ข้าพเจ้าปรับเปลี่ยนและใส่ความคิดของข้าพเจ้าลงไป  แต่ไม่เคยหยิบเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มาเขียนเลยทั้ง ๆ ที่ข้าพเจ้าเชื่อมั่นพอสมควรว่า  ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ชิงข้าพเจ้าก็พอรู้อยู่บ้างเหมือนกัน  ดังนั้นวันนี้ก็คงจะเขียนเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เป็นเกร็ดซึ่งไม่คิดว่าจะเคยมีใครเอาไปเขียนในคู่สร้างคู่สม   เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยจักรพรรดิเต้ากวง  ราชโอรสในจักรพรรดิเจี่ยชิง  ข้าพเจ้าจะไม่เล่าว่าเขาเป็นมายังไงลูกใครหลานใคร  คงไม่เล่าแต่จะขอยกตอนที่เขาขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้วและพบว่า  ประเทศจีนที่เขาปกครองอยู่ประเทศที่เขาเคยภูมิใจในความยิ่งใหญ่นั้นกำลังอดอยาก  ข้าวยากหมากแพง  ชาวบ้านในยุคนั้นอดอยากแม้กระทั่งแม้ต้องขายลูกเพื่อหาข้าวกิน  คนจรจัดต้องขุดหลุมศพเอาผู้วายปราณมากินประทังชีวิต

หลังจากถูกปิดหูปิดตามานานแล้วได้มาพบความจริงความกริ่งเกรงว่าราชวงศ์ของบรรพชนจะสิ้นสูญก็ผุดขึ้นในกมลมาลย์  เต้ากวงเลยเกิดขัตติยะมานะและตั้งใจทำงานเพื่อจะรักษาสมบัติของบรรพชนซึ่งสมบัตินั้นก็คือ  อำนาจเหนือแผ่นดินจีนที่กว้างใหญ่นั่นเอง   สิ่งหนึ่งที่เต้ากวงได้พบว่าถ้าปล่อยปละละเลยต่อไปอาจจะฉุดให้แผ่นดินถึงกาลวิบัติได้นั่นก็คือ  รายจ่ายที่มากมายอย่างมหาศาลของราชสำนัก   เขาตรวจสอบทุกอย่างด้วยตัวเองเช็คบัญชีทุกหน้าแรก ๆ เขาเพ่งเล็งไปที่การกินสินบาทคาดสินบนของขุนนาง   แต่สุดท้ายเขาก็ตะลึงลานตาค้างเพราะสาเหตุจริง ๆ ที่ก่อให้เกิดรายจ่ายมากที่สุดก็คืออย่างที่บอกไป  รายจ่ายในราชสำนัก

ค่าใช้จ่ายเลี้ยงลูกหลานกองธงทัพต่าง ๆ ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับเสื้อผ้า  ค่าอาหารการกิน  ค่าพาหนะ  ค่าบำรุงรักษาวังต่าง ๆ ที่มีมากมายและต้องบำรุงรักษาต่อปีเป็นเบี้ยมหาศาล   มีคำกล่าวว่ากระเบื้องที่ปูราดหลังคาในพระราชวังและตำหนักต่าง ๆ เพียงแผ่นเดียวก็มีค่าควรเมือง   เพราะกว่าจะได้กระเบื้องที่ได้มาตรฐานพอที่จะปูหลังคากู้กงและพระตำหนักต่าง ๆ ได้ต้องผ่านการเผาการเคลือบจนมีสีที่เสมอกัน  มันวาวตามมาตรฐานที่ต้องการ  จนเขาพูดกันว่า  "การเผากระเบื้องจนได้มาหนึ่งแผ่นต้องใช้งบประมาณเป็นหมื่นตำลึง"   ดังนั้นเมื่อเต้ากวงรวบรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดก็เริ่มมาตรการในการประหยัดเพื่อพิทักษ์รักษาราชบัลลังก์

ท่านเริ่มตั้งแต่การประหยัดเครื่องแต่งกาย  ไม่มีนโยบายให้ตัดเย็บเสื้อผ้าใหม่จนกว่าชุดเดิมจะใช้ไม่ได้   ท่านใช้จนขาดแล้วส่งให้นางกำนัลปะชุน  แต่พระองค์ไม่เคยรู้เลยว่าเส้นด้ายที่เอามาร้อยเย็บเครื่องทรงของท่านนั้นก็ต้องใช้ด้ายไหมพิเศษที่ราคาแพงระยับ   ท่านจึงแก้ไขใหม่ด้วยการยกเลิกการกรอด้ายแล้วส่งเสื้อผ้าไปปะชุนนอกพระตำหนักเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายที่มากมายของขั้นตอนในรั้ววัง  แต่กระนั้นเต้ากวงก็ไม่ได้ทราบเลยว่า  สิ่งที่พระองค์กำลังภูมิใจว่าประหยัดจนได้โล่ห์กลับกลายเป็นช่องทางหาเงินให้กับคนกลุ่มหนึ่ง   เต้ากวงไม่เคยรู้มาก่อนว่าค่าปะชุนนั้นโดยปกติตัวหนึ่งชุดหนึ่งไม่กี่อีแปะแต่ขุนนางที่ท่านทรงใช้เรียกเก็บตัวละห้าตำลึง   เต้ากวงหลงดีใจที่ได้ราคาถูกแต่ท่านไม่รู้ว่าพอเรื่องนี้หลุดออกไปนอกวัง  ผู้คนและขุนนางต่างหัวร่อและสมเพชในความโง่เง่าของพระองค์

ท่านให้ยกเลิกการทำครัวหลวงที่ฟุ่มเฟือย  ยกเลิกการกินทิ้งข้าวทำกับข้าวมื้อละเป็นร้อย ๆ อย่างแล้วหันกลับไปซื้อของจากนอกวัง   คำว่า ตำรับฮ่องเต้  เริ่มเกิดขึ้นมาในยุคนี้เพราะถ้าขุนนางกินอะไรแล้วอร่อยก็จะหอบหิ้วไปให้ฮ่องเต้กินในวัง   ถ้าพระองค์ติดใจก็ให้คนออกมาซื้อแทนเครื่องเสวยในวัง   แล้วก็เกิดปัญหาตามมาคือร้านค้าขึ้นราคาเพราะทนงว่าอาหารของเขาเป็นอาหารฮ่องเต้   แม้กระนั้นก็ตามแม้ค่าอาหารของฮ่องเต้ที่ทรงคิดประหยัดก็ยังถูกบวกหัวคิว   เป็นที่ขบขันอย่างยิ่งในสายตาของประชาชน

และไม่ใช่มีเรื่องเพียงเท่านี้มันมีอีกหลาย ๆ เรื่องที่พระองค์ทรงทำให้ขุนนางและประชาชนเห็นเป็นตัวอย่างว่าอะไรคือความประหยัด  แม้เจ้าเหนือหัวเจ้าแผ่นดินยังนิยมการประหยัดดังนั้นประเทศชาติก็น่าจะดีขึ้นเพราะทุกคนพอเพียง  แต่ในความเป็นจริงการที่พระองค์ทรงเช่นนั้นไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยเพราะปัญหาที่เกิดขึ้น  ชาวบ้านอดอยาก  ไม่ใช่ปัญหาเรื่องประชาชนฟุ่มเฟือย  แม้ฮ่องเต้จะประหยัดแต่เงินก็ไปตกอยู่กับขุนนางเจ้าเมือง   และขุนนางเจ้าเมืองก็ไม่ได้แก้ปัญหาอะไรชาวบ้านเลยอดอยากยากเย็นอยุ่เหมือนเดิมไม่ต่างกันไม่ต่างกับที่เคยเป็นมาก่อนเลย  ฮ่องเต้เต้ากวงหลงเข้าใจว่าการที่พระองค์ประหยัดให้ขุนนางเห็น  ขุนนางจะเอาเยี่ยงอย่าง  แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้นเพราะขุนนางเจ้าเมืองก็ยังเป็นเจ้าที่ดินและกักตุนสินค้าอย่างเดิม  ประชาชนก็ยังอดอยากเหมือนเดิม  แล้วประโยชน์อะไรที่เต้ากวงทำเช่นนั้นเพราะไม่เพียงเปิดทางให้ขุนนางฉ้อฉลกันมากขึ้นแต่ยังทำให้คนขบขันในความโง่เง่าของพระองค์อีกด้วย

มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจนะครับประเด็นนี้  เพราะถ้าพูดจากใจจริงแล้วสิ่งที่เต้ากวงทำนั้นไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี  มันเป็นสิ่งที่ดีมันเป็นสิ่งที่พยายามทำจริง ๆ เพื่อเกิดผลจริง ๆ แต่พระองค์เพียงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วต้นตอของปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นหากแต่อยู่ที่ระบบขุนศึกและเจ้าของที่ดิน   ดังนั้นก็ไม่อาจจะไปว่ากล่าวอะไรเต้ากวงได้มากกว่าข้อหา  โง่งี่เง่า

แต่ถ้าเต้ากวงกระทำกลับกัน  ปากบอกให้คนประหยัดแต่กลับยังคงใช้ชีวิตหรูหราและเปี่ยมด้วยอภิสิทธ์อยู่อย่างเดิม   ปากบอกให้ประหยัดแต่ใส่เสื้อผ้าแพงระยับนั่งเกี้ยวราคาแพงสี่คนหามสามคนแบกต้องเอาแส้ฟาดขอทางเป็นกิโล ๆ ใช่ไพร่พลมากมายในขบวนเสด็จ  เปิดวังเป็นดอกเห็ดและออกประพาสไปที่ต่าง ๆ เป็นว่าเล่น  อันนั้นเรียกได้แค่ว่า  ประหยัดเพื่อสร้างภาพประหยัดพอเพียงเพื่อหลอกชาวบ้านไปวัน ๆ เท่านั้นเอง  ถ้าเต้ากวงทำเช่นนั้นก็คงจะเรียกได้อีกอย่างว่า  โง่เง่าและเลวทรามสุดสามานย์

มันเป็นเรื่องที่ต่างกัน...  แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือถ้าระบบขุนนางขุนศึกเจ้าที่ดินตั้งใจทำงานบริหารอย่างเป็นธรรมให้ประชาชนเป็นสุขสงบยามหิวมีข้าวกินยามหนาวมีที่ซุกหัวมีผ้าห่มห่อ  ประชาชนก็คงไม่เป็นศัตรูกับฮ่องเต้เต้ากวงดอก  เพราะเมื่อประชาชนเป็นสุขมีชีวิตที่ดีเขาก็ไม่มองหาความผิดพลาดของชนชั้นปกครอง   แต่นี่เต้ากวงกลายเป็นตัวตลกแห่งแผ่นดินเพียงเพราะอะไร  เพียงเพราะประชาชนอยู่อย่างลำบากลำบนภายใต้การปกครองของขุนศึกและเจ้าที่ดินที่ไม่ได้เรื่อง  ดังนั้นมันจึงเป็นสัจธรรม  เมื่อประชาชนอดอยากเขาก็ต้องกล่าวโทษคนที่รีดนาทาเร้นทำนาบนหลังของเขาและอยู่อย่างสุขสบายและแม้ฮ่องเต้จะประหยัดจริงหรือประหยัดเพื่อสร้างภาพ  ประชาชนเขาก็ไม่แยกแยะหรอกครับ   เพราะเขาถือว่า  ในแผ่นดินนี้ไม่มีใครอยู่สุขสบายเท่าฮ่องเต้ดังนั้นเมื่อเขาทุกข์ยากและเดือดร้อนคนเป็นฮ่องเต้ต้องรับผิดชอบไม่ว่าจะกรณีใด ๆ  เพราะฮ่องเต้เป็นเพียงคนเดียวที่แทบไม่ต้องทำงานแต่อยู่อย่างสบายไปทั้งโคตรเหง้าและสืบสันดานต่อไปจนแทบไม่มีวันจะจบสิ้น

แต่ในที่นี้ก็ยังย้ำชัดว่า  ถ้าเต้ากวงเป็นฮ่องเต้ที่สร้างภาพว่าตัวเองประหยัดแต่ยังใช้ชีวิตหรูหราไม่เปลี่ยนแปลง  เต้ากวงนั้น  โง่เง่าและเลวทรามสุด  เลวทรามกว่าสัตว์นรกที่อยู่ในอเวจี

เจริญพร 

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

จดหมายจากคลองกระจง ถึง นายสนอง เทพอักษรณรงค์ (สมาชิกภูมิใจไทย ลูกน้องยี่ห้อยร้อยยี่สิบ)





ข้าพเจ้าอ่านหนังสือประวัติศาสตร์มาก็หลายเล่มโดยเฉพาะประวัติศาสตร์ด้านเอเซียแต่จะหนักไปทางจีน   ข้าพเจ้าอ่านมานานจนสังเกตได้ว่าจุดล่มสลายของแต่ละราชวงศ์ของจีนนั้นมีจุดจบคล้าย ๆ กัน   นั่นคือ ความอดอยาก  แม้จะมีเรื่องราวมากมายเรียงร้อยแต่เพราะความอดอยาก  ฮ่องเต้ไม่ฟังเสียงประชาชนคนจึงลุกขึ้นแล้วก่อการ  สามก๊กก็ใช่  ราชวงศ์ฉินก็เป็น  ราชวงศ์หมิงอีกล่ะ  เกือบทั้งนั้นมาจากเหตุผลเริ่มต้นอันเดียวกัน  

ความอดอยาก  เป็นสิ่งที่โหดร้ายไม่ว่าจะเกิดในแง่มุมไหนของโลก  ภาพที่ชินตาของข้าพเจ้าก็คงเป็นภาพเด็กที่เอธิโอเปียที่กำลังหิวโหยเนื้อตัวแห้งจนติดกระดูก  แม่นมเหี่ยวแห้งเป็นถุงกาแฟไม่มีน้ำนมสักหยดที่หยาดลงมาแตะแต้มให้ชีวิตลูก   มันเป็นภาพที่โหดร้ายจริง ๆ สำหรับเมืองไทยก็มีนะครับถ้าจำกันได้  ในตอนที่ข้าพเจ้ายังเด็กเล็กหรือเมื่อเกือบสามสิบปีที่แล้ว  เมืองไทยมีเด็กกินดิน  อดอยากจนต้องกินดิน  ไม่แน่ใจว่า กาฬสินธ์ หรือ ศรีษะเกษ  ใครรู้ช่วยให้ความกระจ่าง  ดังนั้นสิ่งเดียวที่จะเยียวยาได้คือการช่วยเหลือ  แก้ไข  และเยียวยาสถานการณ์ต่อไป  ข้าพเจ้าไม่อยากได้ยินคำว่า  "แด่เด็กน้อยผู้หิวโหย"  อีก  ไม่ว่าจะที่ประเทศไทยหรือมุมไหนของโลก

คนเราจริง ๆ แล้วส่วนใหญ่มีธรรมชาติรักสงบ  ถ้ามีอาหารพอเพียงมีปัจจัยสี่ครบครันน้อยคนนักที่ร่านทุรน   อย่างเช่นตำนานของคนไทยเองตำนานการสร้างบ้านแปลงเมืองส่วนใหญ่ถ้าไม่หนีโรคระบาดก็หนีความหิวโหยแล้วอพยพ  ดังนั้นความอดอยากข้าวยากหมากแพงจึงเป็นสิ่งที่สำคัญไม่ว่าจะยุคไหนเมืองไหน   ในยุคก่อนความอดอยากมาในรูปแบบที่ค่อนข้างตายตัว  น้ำท่วม  ตั๊กแตนลง  อากาศไม่เป็นใจ  หรือถูกรีดนาทาเร้น  มันมีรูปแบบสำเร็จรูปของมันแล้วแต่จะเกิดขึ้นที่ไหน  แม้จะมากับ สงคราม โรคระบาด  ก็เป็นรูปแบบที่ตายตัว  ทุกวันนี้ความอดอยากก็มาในรูปแบบที่ตายตัวเช่นกัน   ไม่ต่างจากอดีตมากมาย  แต่มันเพิ่มเติมอีกรูปแบบคือ  ข้าวยากหมากแพงเพราะรัฐบาลแก้ปัญหาไม่เป็นหรือไม่ก็เพราะมีคนอุบาทว์กำลังหากินกับความทุกข์ของคนที่ต้องประสพปัญหาข้าวยากหมากแพง  กักตุนสินค้า  กักตุนปาล์ม

ยุคนี้เราไม่พูดถึงเรื่องเหล่านี้ว่า  ปัญหาความอดอยาก  แต่จะเรียกให้เพราะขึ้นว่า  ปัญหาปากท้อง  ซึ่งทำให้มันฟังดูนุ่มนวลและดีขึ้น  

แต่ผลร้ายของปัญหาเหล่านี้ก็รุนแรงไม่แพ้อดีตกาล  อดีตกาลคนอดอยากรวมตัวกันตั้งกองทัพต่อต้านราชสำนัก  เป็นกบฏ  บ้างก็ทำสำเร็จบ้างก็ไม่สำเร็จแล้วแต่ความรุนแรงของปัญหาและเงื่อนไขของการกบฏ   แต่ยุคนี้ปัญหาปากท้องเป็นปัญหาสำคัญที่จะล้มรัฐบาลหรือตั้งรัฐบาลได้เลย   อย่างที่ผ่านมาก็ชี้วัดให้เห็นพรรคประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยแพ้อย่างหลุดลุ่ยเพราะปัจจัยข้าวยากหมากแพงปัญหาปากท้องเรื้อรัง   ดังนั้นประชาชนจึงคาดหมายว่ารัฐบาลและการเลือกตั้งเป็นทางออกและคำตอบที่มาในวันนี้คือ  พรรคเพื่อไทย

แต่พรรคเพื่อไทยก็ต้องเจอปัญหาใหญ่เพราะภัยที่มาจากปากและนโยบายที่เต็มไปด้วยปัญหา  อย่างเช่น  ค่าแรงขั้นต่ำสามร้อยบาทและอัตราเงินเดือนปริญญาตรี  มันเป็นนโยบายที่มีช่องโหว่แต่ก็แก้ไขได้ถ้าใจเด็ดและก็ต้องยอมรับกันตรง ๆ ว่า  ไม่มีนโยบายของรัฐบาลใดที่ทำได้อย่างหมดจดและทำได้ตามที่หาเสียงไว้ทุกข้อ   แต่ก็ไม่ควรให้ผิดพลาดอย่างน่าเกลียดหรือน้อย ๆ ก็ต้องแสดงให้เห็นถึงความพยายามก็แล้วกัน  แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับฟังในวันนี้ซึ่งเป็นวันแถลงนโยบายของรัฐบาล   ข้าพเจ้าเห็นฝ่ายแค้นขึ้นมาอภิปรายและทำให้ข้าพเจ้าต้องถอนใจอย่างหนักเพราะฝ่ายแค้นโจมตีจนเกินงามและพยายามชี้ให้เห็นว่า  เพื่อไทย  จะทำไม่ได้อย่างที่พูด  ซึ่งรัฐบาลก็ไม่ควรถือสา   เพราะถ้าเขามีดีมีน้ำยาก็คงไม่มาเป็นฝ่ายค้านเสียงข้างน้อยแบบนี้   แต่ประเด็นที่น่าสนใจที่สุดที่ฝ่ายค้านเอามาอภิปรายโจมตีที่ข้าพเจ้าอยากนำเสนอคือ

การอภิปรายแย้งของพรรคภูมิใจไทยโดย นาย สนอง เทพอักษรณรงค์  คนผู้นี้เป็นใครมาจากไหนข้าพเจ้าไม่อยากรู้จักแต่สิ่งที่เขาพูดทำให้ข้าพเจ้ารู้ถึงปัญญาของนกกระจาบที่หาญกล้าจะตีฝีปากกับพญาอินทรีโดยไม่รู้ถึงกำลังของตัวเองว่ามีปัญญาและกำลังมากน้อยแค่ไหน  แต่ก็ยังกล้าตีสำนวน  นายสนองหยิบกระดาษมาหนึ่งแผ่นแล้วพูดว่า 

"รัฐบาลนี้ไม่ควรวางนโยบายเรื่องปกป้องสถาบันไว้ในนโยบายสี่ปี  แต่ควรจัดเป็นนโยบายเร่งด่วน  ผมไม่เห็นว่านโยบายปากท้องยาเสพติดจะสำคัญไปกว่านโยบายปกป้องสถาบัน  ซึ่งต้องทำอย่างเร่งด่วนและทำอย่างเร่งด่วนเหนืออื่นใด"

ฟังแล้วรู้สึกอะไรกันไหมครับ...  ข้าพเจ้าอาจจะคิดรุนแรงเกินไปแต่อ่านข้อความที่นายสนองพูดทีไรแล้วเจ็บปวดที่นักการเมืองไทยยังคิดแบบนี้  วันนี้ปัญหาปากท้องยังไม่รู้เลยว่าจะแก้ได้ไหม  ยาเสพติดก็รุกลามจนไม่รู้ว่าต้องตายกันอีกกี่ศพกว่าปัญหาเหล่านั้นจะเบาบาง  และมันเป็นปัญหาที่รัฐบาลนี้ต้องเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวที่รัฐบาลเก่าทำไว้เสียด้วย   เพราะประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยคือต้นเหตุแห่งการขึ้นราคาสินค้าจนประชาชนแทบไม่มีเงินจะจับจ่ายและเปนรัฐบาลที่ย่อหย่อนในการปราบปรามยาเสพติด   ดังนั้นรัฐบาลนี้ต้องทุ่มกำลังสุดตัวเพื่อมาแก้ปัญหาที่สำคัญของชาติ  เพราะสองปัญหานี้คือความทุกข์สุขของประชาชนทั้งประเทศ   ถ้าทำสำเร็จประชาชนก็จะมีความสุข  แต่ถ้าทำช้าหรือไม่สำเร็จประชาชนก็จะเดือดร้อนชนิดทุกหย่อมหญ้าเลยทีเดียว   แต่วันนี้สิ่งที่  นายสนอง พูดนั้นมันตอกย้ำให้เห็นว่านักการเมืองที่ควรจะเห็นแก่ความสุขของประชาชนทั้งประเทศกลับหลงลืมหน้าที่ของตนเอง

ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นนโยบายปกป้องสถาบันไม่สำคัญ   ก็สำคัญสำหรับ "ประเทศไทย"  แต่ต้องเป็นไปแบบเหมาะสมไม่ใช่เอาปัญหาอย่างอื่นกองทิ้งไว้แล้วเอาปัญหาอื่นซุกไว้ใต้พรม  เพราะความหมายที่ นายสนอง พูดนั้นตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกว่าจะตีความว่า  ปัญหาอื่นนั้นเก็บไว้ก่อนแล้วแก้เรื่องนี้ให้เสร็จลุล่วงก่อนทำอย่างอื่น

นายสนองครับ  ทุกวันนี้ชาวบ้านยังอดอยากไม่พอเหรอครับ   ประชาชนทุกคนไม่ได้รับรายได้เทียบเท่า ส.ส. อย่างท่านทุกคนนะครับ   และประเทศไทยนั้นเราก็รู้กันอยู่ว่าประเทศไทยเป็นของประชาชนและประชาชนก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของประเทศนี้  ประเทศจะเป็นประเทศได้อย่างไรถ้าไร้ประชาชน   ข้าพเจ้าขอแนะนำให้ท่านไปนอนดูซูสีไทเฮาเวอร์ชั่นญี่ปุ่นก่อนนะครับ  ก่อนจะมาพูดเรื่องราวอะไรแบบนี้ในสภาที่ทรงเกียรติ   และท่านดูจบก็ควรสำนึกไว้เสนอว่าทุกวันนี้ที่ท่านมีเสื้อใส่มีข้าวกินมีอำนาจกร่างได้ทั้งแผ่นดินทุกวันนี้   เพราะประชาชน  ไม่ใช่เพราะคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดนะท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติและจงสำเหนียกไว้เสมอด้วยนะครับว่า  ประชาชนทุกวันนี้เดือดร้อนหนักเพราะรัฐบาลเก่าได้ขี้ทิ้งไว้ได้ทำให้แผ่นดินฟอนเฟะไว้   ดังนั้นท่านไม่ควรหน้าด้านพูดว่าควรทำอะไรก่อนหรือหลัง   แต่ถ้าท่านจะมีสามัญสำนึกอยู่บ้างก็จงจำใส่กบาลไว้ว่า   "ต้องทำเพื่อประชาชนก่อนอื่นใด  ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข  หมดปัญหาเรื่องปากท้อง"

จากนั้นท่านจะไปทำเรื่องห่าอะไรต่อจากนี้ก็ไสหัวไปทำเถอะครับ  แล้วอีกอย่างจะพูดอะไรคิดถึงประชาชนก่อนอื่นได้ไหมอย่าเอาแบบลูกพี่ยี่ห้อยร้อยยี่สิบของคุณ  ที่คิดอะไรไม่ออกก็บีบน้ำตา  กอดเพื่ออำนาจและเอาหลังพิงวัง  มันน่าสมเพช !!!

เข้าใจไหมครับ...  ถ้าไม่เข้าใจก็ไปตายให้หนอนแดกเถอะ  ไอ้ควายเอ๊ย...

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

จดหมายจากคลองกระจง ถึง กนก รัตน์วงศ์ "สถุล"



จดหมายจากคลองกระจงในค่ำคืนวันที่ยี่สิบเอ็ดสิงหานี้เป็นคิวของ  นาย กนก รัตน์วงศ์สกุล  อีกหนึ่งคนที่ข้าพเจ้าจารึกชื่อของเขาในฐานะโมฆะบุรุษและไม่อยากแตะต้องอะไรอีก   เพราะคนพวกนี้เป็นคนที่เรียกว่า  "บัวใต้น้ำหินทับไว้"   พระพุทธองค์เวลาโปรดเวไนยสัตว์ท่านก็ยังหลีกเลี่ยงคนประเภทนี้เพราะท่านเห็นแล้วว่าพูดไปเทศน์ไปก็ไม่มีประโยชน์แล้วประสาอะไรกับคนธรรมดาผู้เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างเรา   บัวใต้น้ำก็แย่ที่สุดแล้วนี่หินยังทับไว้อีก  และจากการได้อ่านข้อความที่คุณ หน่วยงานลับแดงใต้ดิน  ได้พูดจากับ นายกนก  ข้าพเจ้าก็เชื่อเลยว่า  นาย กนก นั้นมิใช่เพียงแค่บัวใต้น้ำหินทับไว้  แต่เขาเป็น บัวใต้น้ำหินทับไว้แต่ก็ยังถูกซีเมนต์โบกทับไว้อีกสามถึงเจ็ดนิ้ว  เราไม่ต้องพูดถึงวีรกรรมของนายกนกกันให้มากความไม่ต้องท้าวความเอาสิ่งที่เคยเกิดมาพูดให้เสียเวลา   เรารู้กันดีว่าตลอดมาเขาคนนี้นั้นเป็นเช่นไร

วันนี้ข้าพเจ้าเพียงแต่จะมาพูดเรื่องใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ และข้าพเจ้าคิดว่ามันก็ยังจะคงเกิดขึ้นต่อไปไม่จบสิ้นหรอกครับ  การแสดงความโง่นั้นเป็นความสามารถของกนกที่คนธรรมดาอย่างเราไม่อาจคาดการณ์ได้เลย...   ล่าสุดมีสองเรื่อง  เรื่องแรกเป็นเรื่องที่นายกนกเขียนโน๊ตถึงนักข่าวคนหนึ่งซึ่งถามคำถามนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย  เขาได้ถ่ายทอดคำพูดคำสัมภาษณ์มาซึ่งข้าพเจ้าก็ตอบได้เลยครับว่า  นายกปูก็ตอบได้ไม่ค่อยดีหรืออาจจะไม่มีเวลามาตอบโต้หรือเสียเวลาด้วย   เพราะบางอย่างมันก็ไม่ใช่เรื่องต้องมานั่งให้นักข่าวฟัง   แต่นายกนกกลับยกเอาคำพูดนั้นมาและทำให้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต  ก่อนจะแขวะกัดหนังสือพิมพ์มติชนไปอีกหนึ่งดอกใหญ่ใจความว่า...

"ไม่เหมือน ไอ้นักหนังสือพิมพ์หัวหงอก  ที่ทรยศวิชาชีพ  อุตส่าห์ก่อตั้งหนังสือพิมพ์คุณภาพมา 30 กว่าปี  ต้องมาเสียผู้เสียคน  เดี๋ยวนี้เห็นหนังสือพิมพ์หัวนี้วางอยู่  จะถ่มถุย..ยังเสียดายน้ำลาย"

ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งที่นายกนกพูดไม่ใช่เรื่องผิดครับเพราะมันคือความเห็นของเขา   แต่อยากเรียนว่าไหน ๆ จะคิดด่าแล้วอ้อม ๆ ทำไมครับ  เอามันตรง ๆ เลยสิหรือว่ากลัวหรือว่าดีแต่หลบอยู่ใต้ชายกระโปรงผู้หญิง   สิ่งที่คุณพูดมันก็ไม่ต่างจากสิ่งที่ผู้คนส่วนหนึ่งเขามองคุณลองครับคุณกนก  คนที่มองเห็นคุณบางคนเขาก็คิดเสียว่า  "คุณเป็นนักข่าวมานานได้อย่างไร  เสียผู้เสียคน  เดี๊ยวนี้เห็นนักข่าวคนนี้เดินไปไหนมาไหนอยากเอาน้ำล้างเสนียดแล้วอยากถุยน้ำลายรดหัวสักทีสองที"   ข้าพเจ้าคงไม่คิดว่าเป็นการเปลืองน้ำลายหรอกถ้าจะถ่มถุยรดหัวคุณเพราะการเอาของเสียออกจากร่างกายเป็นปกติของมนุษย์  ร่างกายมันออกแบบมาแบบนั้น  ก็คงไม่แปลกที่นายกนกจะเป็นดั่งมนุษย์เชื้อโรคในสายตาของพวกข้าพเจ้าและก็หรือถึงสาเหตุสำคัญแล้ว  เพราะคุณมีแต่จะเก็บของเสียไว้ในร่างกายเชื้อโรคจึงเข้าไปกัดกินสมองจนทำให้สายตามองไม่เห็นโลกอะไรที่นอกกะลาของเครือเนชั่นส์เลย

ข้าพเจ้าไม่อยากจะแจงสาเหตุเป็นข้อ ๆ นะครับว่า  ทำไมเนชั่นส์ถึงเกลียดทักษิณและคนเสื้อแดงเข้าไส้  ไม่อยากแจง ๆ จริง ๆ เพราะสาเหตุข้อหนึ่งที่ทำให้เนชั่นส์เกลียดทักษิณมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่า   เพราะทักษิณทำอะไรบางอย่างให้คุณเสียผลประโยชน์หรือเปล่าพวกคุณถึงได้เกิดอคติกัน   ข้าพเจ้าไม่อยากพูดให้มากความให้เสียน้ำลายที่จะเอาไว้ถ่มรดหัวคุณนะครับคุณกนก  

สิ่งที่คุณกนกชมว่านักข่าวคนที่ถามนายกรัฐมนตรีหญิงนั้นที่ว่าถามดีนักดีหนานั้นมีอะไรเรามาฟังกันดู  

"การแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้  คิดจะทำอะไรเพื่อประเทศชาติและประชาชนบ้างหรือไม่?"  เรื่องนี้กนกเอาเขียนลงในหัวข้อของเขานะครับแต่ข้าพเจ้าตอบแทนได้เลยว่า  เรื่องนี้ถามนายกรัฐมนตรีไม่ถูกเสียทีเดียวครับ  เพราะถ้าจะถามว่าทำอะไรเพื่อประเทศชาติและประชาชน  เขาต้องมาถามประชาชน  ถามนายกรัฐมนตรีจะได้คำตอบได้อย่างไร   ไม่ทราบว่าคนถามกินยาลืมเขย่าขวดเลยเขียนจดหมายผิดซอง   ถ้าท่านจะถามว่าเพื่อประชาชนต้องถามประชาชนก่อน  ว่า  ประชาชนต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญไหม  และถ้านักข่าวกับคุณกนกรฤกชาติได้ก็คงจำได้ว่าตอนที่รัฐบาลสุรยุทธ์ฉีกรัฐธรรมนูญเก่าแล้วเขียนใหม่   มีคนตั้งท่าจะไม่รับร่าง  ทั้งภาครัฐบาลและสื่อมวลชนก็ออกมาเป็นกระบอกเสียงให้คณะปฏิวัติว่า   "ให้รับไปก่อนแล้วแก้ทีหลังได้"   ก็นี่เรารับไปก่อนแล้วตอนนี้จะมาแก้   มันผิดอะไรเหรอครับ  เราทำตามกติกาแล้ว   และข้าพเจ้าอยากถามนักข่าวคนนั้นและคุณกนกว่า  "ตอนที่เขาฉีกรัฐธรรมนูญและร่างใหม่  คุณเคยถามหรือไม่ว่ามันเป็นความคิดอะไรที่จำเพื่อประเทศชาติและประชาชนหรือเปล่า"   มันตรรกะเดียวกันนะครับ

คุณกนกอย่าสะเออะคิดแทนประชาชนว่า  ประชาชนไม่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ   อย่าสะเออะครับ  เพราะถ้าหยั่งคะแนนเสียงกันจริง ๆ ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ต้องการให้แก้หรอกครับ  แต่เขาต้องการให้ทิ้งของโจรแล้วเอา  รัฐธรรมนูญปีสี่ศูนย์มาใช้เสียด้วยซ้ำไป   ดังนั้นสิ่งที่คุณชื่นชมนักข่าวช่องเจ็ดคนนั้นข้าพเจ้าอยากเรียนว่า  ถ้าพวกท่านเต็มใจรับของโจรก็เอาเถอะครับ  เพราะพวกท่านเป็นโจรเหมือนกับพวกรัฐประหารจึงหวงแหนรัฐธรรมนูญโจร   แต่สำหรับพวกข้าพเจ้าชาวบ้านที่เคารพกฏหมาย   ไม่เอาของโจรเด็ดขาด

"โฉมหน้าคณะรัฐมนตรี  ขี้เหร่กว่าท่านนายกรัฐมนตรีนะคะ?"

"ทำไมถึงแต่งตั้งคนที่มาจากสายการเงิน การลงทุน มาเป็นรัฐมนตรีคลังคะ?"

"จะประสานนโยบายการเงินกับการคลังอย่างไรให้ลงตัว?"

"แม่ปู" ตอบว่า "รอให้มีการแต่งตั้งทีมที่ปรึกษาก่อนนะคะ  นโยบายทุกด้านจะชัดเจน"

น้องคนนี้ถาม  "ทำไมต้องรอมีที่ปรึกษาล่ะคะ  ถ้าไม่มีที่ปรึกษาทุกอย่างจะไม่ชัดเจนหรือคะ?"

และด้านบนนั้นเป็นชุดคำถามที่คุณกนกชื่นชมเหลือเกินว่านักข่าวคนนั้นเก่งที่ทำเอาคุณปูเดินหนีได้   แต่ข้าพเจ้าอยากเรียนตรง ๆ จากสำนึกของข้าพเจ้าว่า  เป็นคำถามที่ไร้มารยาทและดูเหมือนว่าคนที่ถามคำถามแบบนั้นไร้การสั่งสอนจากทางบ้านมา   โฉมหน้าคณะรัฐมนตรีขี้เหร่กว่าท่านนายกรัฐมนตรีนะคะ  คือ  คุณนักข่าวเอาคำว่าอะไรมาวัดว่าขี้เหร่   แม้ข้าพเจ้าเองจะเห็นว่ารัฐมนตรีคณะนี้ไม่เพียงแต่ขี้เหร่แต่มันถึงขั้นดูไม่ได้ด้วยซ้ำยังรู้สึกไม่พอใจคำถามของเธอเลย   เพราะวันนี้เขายังไม่ได้ทำงานก็ต้องให้โอกาสกันทำงานแล้วรูปโยคนั้นไม่ได้เป็นคำถามนะครับ  มันเป็นประโยคบอกเล่า  ถ้าคุณจะพูดเองของคุณก็กลับบ้านไปแล้วซักถามตัวเองกับกระจก  ไม่เห็นต้องเดินดมตูดยิ่งลักษณ์เลยนี่นา    ส่วนสามคำถามต่อท้าย  ข้าพเจ้าก็อยากเรียนว่า  ไม่ว่าจะทำอะไรมันก็ต้องมีที่ปรึกษานะครับ   แม้กระทั่งเจ้าของแผ่นดินยังต้องมีองคมนตรีเป็นที่ปรึกษาแล้วทำไมนายกรัฐมนตรีถึงจะมีที่ปรึกษาไม่ได้

เคยได้ยินเรื่อง  เล่าปี่แสวงปราชญ์ไหม  เคยได้ยินเรื่อง โจโฉแสวงปราชญ์ไหม  เคยได้ยินเรื่องเล่าปังออกแสวงปราชญ์ไหม   ไม่มีผู้นำในอดีตคนใดไม่แสวงปราชญ์มาตัดสินการณ์   ภาวะผู้นำนั่นคือเรื่องหนึ่ง  การเป็นผู้นำนั้นเป็นอีกเรื่อง   แต่การปรึกษาที่ปรึกษาที่เก่ง ๆ ก่อนจะทำอะไรลงไปมันเป็นเรื่องที่จำเป็นของคนที่เป็นผู้นำ   ถ้าเขาเป็นเพียงแค่นักข่าวอย่างคุณ  ที่ใช้อารมณ์ความรู้สึกในการทำงานอย่างเดียว  นั่นสิครับถึงต้องไม่ปรึกษาที่ปรึกษา   เพราะงานแบบคุณคนที่ไร้มารยาทก็ทำได้เอากุลีแบกข้าวสารพูดเลว ๆ หน่อยก็มาเป็นนักข่าวที่ถามคำถามแบบไร้สมองได้แล้ว   ไม่เห็นต้องชมเชยอะไรเลย 

แต่ก็ไม่แปลกครับที่คุณกนกชม  เพราะคนไร้มารยาทสมองสุนัขปัญญากระบือก็คงจะชื่นชมคนที่มาจากเผ่าพันธ์และสปีชี่เดียวกัน

ดังนั้นเข้าใจแล้วใช่ไหมครับคุณกนกว่า  คุณเหยียดมติชนได้   คนอื่นเขาก็เหยียดคุณต่ำกว่าที่คุณเหยียดมติชน  กรุณาฟังอีกครั้ง !!!

"คุณเป็นนักข่าวมานานได้อย่างไร  เสียผู้เสียคน  เดี๊ยวนี้เห็นนักข่าวคนนี้เดินไปไหนมาไหนอยากเอาน้ำล้างเสนียดแล้วอยากถุยน้ำลายรดหัวสักทีสองที"  นั่นคือข้อความที่คนฝ่ายข้าพเจ้ามีให้ท่านและแน่นอนว่า  ที่ข้าพเจ้าพูดเนี่ยมันเบาไปเสียด้วยซ้ำ

ต่อมาก็เป็นเรื่องขำขันที่มาติดกันเพราะรอบนี้เป็นข้อความตอบโต้ของคุณกนกกับ  หน่วยงานลับแดงใต้ดิน   ข้าพเจ้าไม่ได้ขออนุญาตท่านดังนั้นข้าพเจ้าขออนุญาตท่าน ณ ที่นี้และต้องขออภัยที่เอ่ยนาม  เพื่อเป็นการอ้างอิงที่มาที่ไป  หวังว่าไม่โกรธกัน  หน่วยงานลับแดงใต้ดินได้โต้ตอบกับกนกเป็นข้อ ๆ ซึ่งข้าพเจ้าขอยกขึ้นมาเอาแต่พอสังเขปละกันนะครับ  คุณกนกได้ถามคุณหน่วยงานลับแดงใต้ดินเป็นข้อ ๆ มีข้อหนึ่งว่า 

แต่ก่อนจะถาม  คุณกนก  ได้เขียนว่า  "คิดตามที่ผมถามนะ"

1.ถ้ารัฐบาลจะสั่งยิงประชาชน โดยเฉพาะในวัดปทุม ทำไมต้องรอถึงวันสุดท้าย วันที่ทหารสลายการชุมนุม

ข้าพเจ้าทนเห็นความโง่ของมันไม่ไหวขอตอบกนกเลยว่า   "ควายไหมครับคุณกนก  แน่ใจว่าถามแบบใช้หัวคิดแล้ว   รัฐบาลไม่ได้รอให้ถึงวันสุดท้ายครับรัฐบาลยิงตั้งแต่วันแรก  มันยิงกันมาตั้งแต่สงกรานต์แต่มันยังไม่เป็นมหกรรมใหญ่โตเท่านั้นเอง   เพราะถ้าไม่ยิงจริงจะมีคนตายมาจากไหนตั้งแต่ช่วงสงกรานต์ครับคุณกนก   ไอ้วันแรก ๆ นั้นรัฐบาลยิงเก็บคะแนนครับ  แต่วันสุดท้ายเขาเรียกว่าเคลียร์ด่าน   อย่าโชว์โง่ในที่สาธารณะครับ"

2.ทหารโง่ขนาดแต่งชุดทหารขึ้นไปส่องยิงชาวบ้านซื่อๆบนสถานีรถไฟฟ้าให้คนอื่นถ่ายคลิปได้ แล้วเอาไปให้ข่าวสดลงเหรอ?

คุณกนกครับ  มีสมองไว้ทำอะไรครับเนี่ย  ข้าพเจ้าจะบอกไว้อย่างว่าสมองมีต้องใช้นะครับถ้าไม่ใช้มันจะฝ่อ  ของคุณเนี่ยฝ่อไปแปดสิบเปอร์เซนต์แล้ว  กลับตัวกลับใจยังทัน  ถ้าไม่ให้ทหารใส่ชุดทหารแล้วจะให้มันใส่ชุดอะไรล่ะครับ   เพราะเขาออกมาปฏิบัติการณ์และที่สำคัญทหารมันโง่ไม่รู้ว่าถูกถ่ายนะครับ   ถ้าทหารไม่โง่มันคงไม่ยิงประชาชนตั้งแต่ช่วงสงกรานต์แล้ว   ถ้าทหารไม่โง่มันคงไม่ปฏิวัติแล้ว   คุณกำลังให้ราคาสมองของทหารมากไปไหม   ถ้าทหารไม่โง่ทำไมเชิดชูซีทีเอ็กซ์จัง   ถ้าทหารไม่โง่เขาคงไม่ยอมฟังคำสั่งของรัฐบาลโง่ ๆ หรอกครับ  

3.ถ้ารัฐบาลจะสั่งทหารเก็บจริง เป็นคุณจะเก็บชาวบ้านซื่อๆ หรือจะเก็บพวกแกนนำ นปช.? แล้วเก็บตั้งแต่แรกจะดีกว่ามั๊ย? จะรอให้สี่แยกโดนยึดเป็นเดือนๆทำไม?

คุณกนกครับ  คุณนี่มันโง่ซ้ำซากนะครับ  ไอ้ที่สี่แยกโดนยึดเป็นเดือน ๆ นั้นเพราะว่ารัฐบาลไม่รู้ว่าเขาจะยึดไงครับ  คุณโง่จริงหรือแกล้งโง่หรือว่าเชื้อโง่ตกทอดมาจากพันธุกรรม   แล้วถ้าเขาเก็บ แกนนำได้เขาก็เก็บไปแล้วครับ  แต่ทหารมันไม่มีปัญญาและไม่มีความกล้าหาญพอ   และคุณกนกคุณนี่มันป่าเถื่อนหรือซาดิสม์ครับ  คุณเอะอะแก้ปัญหาด้วยการยิงทิ้งอย่างเดียวเลยเหรอ  ถ้าคิดในแบบเดียวกัน  คุณว่าพันธมิตรทำไมมันยึดสนามบินได้ครับ   อย่าลืมนะครับว่าตอนที่พันธมิตรยึดสนามบินข้าพเจ้าก็เป็นสมาชิกเวบโอเคเนชั่น  คุณก็ออกมาดีอกดีใจ   ทำไมรัฐบาลสมชายปล่อยให้พันธมิตรยึดสนามบินโดยไม่ยิงหัวแกนนำ   ไม่มีใครตอบได้ครับเพราะไม่มีใครถาม   คนที่คิดถามคำถามทำนองนี้   ต้องละทิ้งความเป็นคนไปนานแล้ว  จริงไหมครับคุณกนก

จริง ๆ ที่คุณถามมาห้าข้อข้าพเจ้าก็ถือวิสาสะตอบได้หมดแหล่ะครับ  แต่ข้าพเจ้าเสียเวลาที่จะตอบ  เพราะข้าพเจ้าก็ไม่รู้จะเสียเวลากับบัวใต้น้ำหินทับไว้ซีเมนต์โบกซ้ำทำไม  อีกอย่างที่เขียนมาเนี่ยเพื่อระบายบางสิ่งอย่างที่มติชนออนไลน์ทำผิดพลาด   เพราะคำเอาคำพูดของคุณมาเคียงกันอยู่ในหน้าเดียวกับวาทะของพี่ป้อม นิธินันท์  พี่สาวที่น่ารักของข้าพเจ้า

คำพูดขยะที่หมาไม่ยอมลดตัวกินของคุณ  มันเทียบชั้นคำพูดของคนมีการศึกษาไม่ได้หรอกครับกนก   คุณน่ะได้รับเกียรติสูงส่งนะที่คนปัญญาต่ำของคุณได้อยู่ร่วมหน้าเพจเดียวกับปัญญาชนอย่างตีเสมอ   แต่คนอ่านจะรู้ครับว่า  คนอย่างคุณมันไม่มีราคาแม้จะเป็นพื้นรองเท้าให้ปัญญาชนควบเสรีชนอย่างพี่ป้อมเลย

เกิดชาติหน้าฉันใดทำบุญมาดี ๆ หน่อยนะกนก  อย่าให้เกิดมาสมองสุนัขปัญญากระบือแบบในชาตินี้  คุณทำบุญมาดีตรงลิ้นแล้ว  เลียเก่งจนได้ดี  สรยุทธเก็บมาเลี้ยงมาปัดฝุ่นขี้เถ้าจนได้ดี   จนมีโอกาสที่ดี   อย่าทำตัวถ่อย ๆ อีกเลยครับ  ถ้าไม่สงสารประชาชนที่โง่เชื่อคำพูดของคุณก็สงสารตัวคุณเองที่พูดอะไรโง่ ๆ ออกมาจนคนเขาจะเห็นว่าคุณโง่เป็นปกติสันดาน

สวัสดี