วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

บันทึกของพ่อ

ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพ่อของผมจะเคยเขียนบันทึกกับเขาด้วย   แต่ตอนนี้ผมกำลังถือสมุดบันทึกของพ่อ   มันเป็นสมุดธรรมดาที่เขียนหน้าปกว่า สมุดลายไทย มันเป็นสมุดธรรมดาทั่วไปแต่ที่ได้ชื่อแบบนั้นคงเพราะว่ามีลายไทยคล้ายกับลายเทพพนมอยู่บนหน้าปก  ปกสมุดทำด้วยกระดาษแข็งมันจึงมีความหนากว่าสมุดทั่วไป   ด้านล่างมีช่องให้เขียนชื่อซึ่งพ่อผมเขียนในช่องนั้นว่า "อมรเทพบันทึก"  อมรเทพ เป็นชื่อของผมเอง  ดังนั้นการที่ผมหยิบสมุดเล่มนี้ขึ้นมามิใช่ว่าบังเอิญแต่เป็นเพราะชื่อที่สะดุดตา  ลายมือของพ่อแม้อ่านยากเส้นสายหวัดแต่กดหนักทุกลายเส้นจึงเป็นที่ง่ายแก่การจดจำ  ถ้าใครได้มาเห็นลายมือของพ่อผมแล้วสักครั้งต่อไปเมื่อเขาพบลายมือแบบนี้ที่ไหนจะรู้ได้โดยพลันว่านี่คือลายมือของพ่อ

ผมไม่อยากเปิดอ่านสมุดเล่มนั้นเลยเพราะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าในนั้นจะเขียนอะไรไว้บ้าง  แต่ดูจากความเก่าของสมุดแล้วก็คาดการณ์ได้คร่าว ๆ ว่าพ่อคงจะเริ่มเขียนบันทึกนี้ตั้งแต่ผมเกิด   บางทีมันคงอาจจะมีข้อความอะไรดี ๆ เขียนถึงผมบ้างละมังเมื่อคิดแบบนี้ผมจึงเริ่มเปิดอ่าน


วันนี้พ่อดีใจเพราะเป็นวันที่พ่อรู้ตัวว่าจากวันนี้ไปพ่อได้เป็นพ่อคน   แม่มาบอกอย่างไม่แน่ใจนักแต่เมื่อพ่อพาไปโรงหมอก็ได้รับการยืนยันว่าแม่ตั้งท้องจริง  พ่อก็น่าจะประหลาดใจอยู่บ้างแล้วเพราะตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาแม่ของหนูนั้นเรียกร้องจะกินแต่ขนุนอย่างเดียว  ข้าวคลุกน้ำพริกกับมันหมูเจียวที่ชอบก็ไม่ทานอ้างว่าเหม็นคาวมันหมูทั้งที่แต่ก่อนต้องกินแทบจะทุกมื้อเลย  พ่อต้องซื้อขนุนกลับมาฝากแม่ทุกวันวันละโล  ถ้าพ่อคิดให้ถี่ถ้วนสักหน่อยพ่อคงรู้ว่านี่เป็นสัญญาณการมาถึงของหนู


ผมอ่านข้อความก่อนแล้วกวาดสายตาไปด้านบนเพื่ออ่านวันที่ที่พ่อเขียนไว้ว่าบันทึกตั้งแต่เมื่อไหร่  มันเป็นวันก่อนผมเกิดเจ็ดเดือนเลยเหรอ  ผมคิดว่าแม่ผมแพ้ท้องเร็วนะเพราะสองเดือนก็เริ่มแพ้แล้วเพราะไอ้ที่ผมเห็นในหนังในละครมันต้องสามเดือนทุกทีเลยพาลให้สงสัยว่าจริง ๆ แล้วคนเราเริ่มแพ้ท้องตอนกี่เดือนกันแน่หนอ  เอาล่ะ... ไว้อ่านเสร็จจะเก็บความสงสัยนี้ไปถามลุงกูเกิ้ลให้เฉลย  ผมพลิกอ่านไปเรื่อย ๆ ก็พบว่าพ่อที่ดูเฉยและเย็นชากับผมนั้นค่อนข้างเอาใจใส่ผมมากพอดู  ผมอยากให้พ่อดูแลผมน้อยลงกว่าที่เป็นในตอนนั้นเพื่อเอามาแบ่งปันความเอาใจใส่เมื่อผมเติบโตขึ้นแล้ว  ผมพลิกอ่านไปหลายหน้าจนเจอกับอีกวันหนึ่งที่พ่อได้เขียนเอาไว้

วันนี้แม่เล่าให้ฟังว่า  เมื่อหลายเดือนก่อนที่จะรู้ว่าตั้งท้องหนูน่ะ  แม่ได้ฝันแต่แม่กลัวพ่อจะว่ากินมากก็เลยฝันฟุ้งเลยไม่ได้เอามาเล่าให้ฟัง  ก่อนที่จะท้องหนูแม่ฝันว่ามีแม่ชีคนหนึ่งอุ้มห่อผ้ามาให้  แม่ชีคนนั้นบอกให้แม่แบมือมาจะให้ของ  แต่แม่ก็ไม่กล้าแบเลยบอกไปว่า จะเอาอะไรมาให้  ไม่เอา  แต่แม่ชีคนนั้นก็พยายามพูดไปอีกว่า  แบมือมารับเหอะนี่เป็นของที่เธออยากได้นะ  แม่เลยแบมือรับเพราะอยากรู้  ปรากฏว่าแม่ชีคนนั้นวางแหวนไว้ให้  แม่ของหนูก็บอกว่าไม่เอาแหวนน่ะผัวฉันซื้อให้ตั้งหลายวงจะเอาของแม่ชีไปทำไม  แม่ชียิ้มแล้วตอบว่า  ฉันไม่ได้ให้แหวนเธอ  ฉันเอาแหวนให้เด็ก  เธอเห็นไหมว่าฉันอุ้มเด็กมาให้เธอด้วย  เมื่อแม่ชีพูดจบก็ยื่นห่อผ้ามาตรงหน้าแม่  แม่บอกว่าเด็กที่เห็นในฝันนั้นน่ารักน่าเอ็นดูมากแต่ดูไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงแม่เลยเอื้อมไปรับเด็กที่อยู่ในห่อผ้ามาอุ้ม  ขณะที่กำลังจะเปิดห่อผ้าดูเพศ  แม่ชีก็หายตัวไปแม่ตกใจตื่นเลยอดดูให้รู้ว่าเด็กเพศอะไรกันแน่  พ่อได้ยินเรื่องนี้ก็ตีเอาว่าน่าจะเป็นผู้หญิงนะเพราะแม่ชีเอามาให้  แม่เลยย้อนว่า  ฉันก็ไม่เคยได้ยินใครเล่าเหมือนกันว่ามีพระสงฆ์อุ้มเด็กมาให้ใครในฝัน 

พ่อก็เห็นจริงตามนั้นเพราะตั้งแต่เกิดเป็นผู้เป็นคนมาก็ไม่เคยได้ยินใครเล่าความฝันว่าพระสงฆ์อุ้มเด็กมาให้  เห็นว่ามีแต่แม่ชีหรือคนธรรมดาอุ้มเด็กมาและไอ้ที่เคยได้ยินมาว่ามีแม่ชีอุ้มเด็กมานั้นเกิดเป็นชายก็ถมเถ  แรกเริ่มเดิมทีพ่อไม่ได้อยากรู้เลยว่าลูกในท้องจะเป็นหญิงหรือชาย  เพราะพ่อเชื่อว่าฟ้าได้ลิขิตมาแล้ว  แต่ในใจลึก ๆ นั้นพ่ออยากให้หนูเป็นผู้ชาย  มันเป็นธรรมดาล่ะที่คนส่วนใหญ่ย่อมคาดหวังจะได้ลูกชายมากกว่าลูกสาว  พ่อไม่ได้เชื่อในคำกล่าวที่ว่า "มีลูกสาวเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน"  พ่อไม่ได้เชื่อเช่นนั้นแต่ความรู้สึกและการปลูกฝังมาแต่อดีตทำให้พ่ออยากมีลูกชาย  แต่ถ้าหนูเกิดเป็นผู้หญิงพ่อก็รักและเอ็นดูหนูเหมือนเดิม

พ่อบันทึกไว้เท่านี้ในวันนั้นแต่อีกวันถัดมาพ่อก็เขียนบันทึกอีก

วันนี้ตายายหนูมาที่บ้าน  ร้อยชาติพันชาติไม่เคยมาเหยียบบ้านพ่อแต่พอได้ข่าวว่าแม่ท้องก็ลงทุนเดินทางจากเพชรบูรณ์มาหา  ท่านเอาของฝากมาให้มากมายซึ่งของแต่ละอย่างเป็นของบำรุงครรถ์ทั้งนั้น  ตากับยายแนะนำของกินต่าง ๆ รวมทั้งบรรยายสรรพคุณว่ากินไอ้นั่นไอ้นี่จะดีกับหนูอย่างไร  ตาของลูกน่ะจัดได้ว่าเป็นพ่อตาจอมโหดได้เลยนะ  แกหวงลูกสาวอย่างกับจงอางหวงไข่ใครแหยมไปหน้าบ้านชะม้ายตามองลูกสาวเข้าหน่อยเป็นต้องหยิบลูกซองมาขู่   แม้แต่พ่อเองแรก ๆ ไปขอแกก็ไม่ได้คิดจะยกให้แกกลัวว่าพ่อจะเลี้ยงดูแม่ไม่ดีเท่าแก  ไม่อยากปล่อยแม่ให้ออกจากอกที่อบอุ่นแต่เจอลูกหน้าด้านหน้าทนของพ่อเข้าตาของลูกก็ใจอ่อน  แต่แกคงช้ำใจที่พ่อเป็นตัวการพรากแม่จากอกตา  แกเลยเหมือนจะเคืองพ่อประมาณว่าหน้าก็ไม่อยากเห็นเสียงก็ไม่อยากได้ยิน  สองปีมาแล้วหลังจากพ่อได้แม่มาเป็นแม่เรือนถึงได้เห็นหน้าเห็นตาคุณพ่อตาสักครั้งนี่เพราะหนูแท้ ๆ

คุยกันไปสักพักตากับยายของหนูก็คว้าของออกจากกระเป๋า  มันเป็นถุงแพรเล็ก ๆ สีแดง  พ่อรู้ได้ทันทีว่าเป็นอะไรเพราะถุงแบบนั้นส่วนใหญ่แล้วเขาใช้กันในร้านทอง  ตาได้ซื้อสร้อยข้อมือมาทำขวัญหนูด้วย  ตาบอกว่าตอนคลอดไม่รู้แกจะตายหรืออยู่ทำขวัญให้เสียแต่ตอนนี้  แม่ก็ทำหน้าเศร้าเพราะได้ยินคนเป็นพ่อพูดแบบนั้น  ตาของหนูแม้เป็นคนดุยึดติดขี้หวงแต่ก็เป็นคนปลงตกในระดับหนึ่งซึ่งพ่อคิดว่ามันก็ขัดแย้งกับความเป็นตัวของแกเองน่ะนะ  ตาของหนูอยู่ ๆ ก็ถามว่า  "รู้หรือยังว่าเป็นชายหรือหญิง"  พ่อก็บอกไปว่า "จะไปรู้ได้ไงครับ"  ตาก็ตบเข่าฉาดแล้วบอกว่า "บ๊ะ ไอ้นี่  รู้ได้สิวะ  เอ็งน่ะหันหน้าไปทางอื่นก่อน"  พอเห็นพ่อหันหน้าไปอีกทางแล้วก็บอกให้แม่เปิดเสื้อขึ้นมาขอดูท้องขอดูสะดือหน่อย  ตาแกอธิบายเรื่องสะดือคว่ำหงายอะไรสักพักซึ่งพ่อก็ไม่ค่อยเข้าใจแต่พอแกดูแล้วก็ฟันธงมาว่า  "เฮ้ย ท้องนี้ผู้ชายชัวร์ป้าบ"  พูดจบก็ให้พ่อหันมาแล้วถามว่า  "ตั้งชื่อแล้วหรือยัง"  พ่อเลยตอบไปว่าเด็กยันไม่ทันเกิดยันไม่ทันรู้เพศจะตั้งชื่อให้ได้ไง  ตาแก่ทำท่าไม่พอใจแล้วพูดว่า "อุบ๊ะ ไอ้นี่ก็ข้าบอกว่าไอ้เด็กคนนี้เป็นผู้ชายก็ต้องผู้ชายสิวะ"  พ่อเลยยั่วโมโหพ่อตาไปหนึ่งที  "แล้วพ่อเป็นหมอดูหมอเดาหรือไงถึงได้ทำนายล่วงหน้า  ถ้าผมตั้งชื่อผู้ชายแต่ดันออกมาเป็นลูกสาวไม่ต้องแก้ไขกันใหม่เหรอ  แล้วอีตอนนางพยาบาลถามลูกสาวผมไม่ต้องใช้ชื่อผู้ชายไปก่อนหรือไร"  คนแก่โมโหง่ายแกเลยเอาเท้ายันโครมมาหนึ่งทีพร้อมกับพูดกับพ่อว่า  "เอ็งนี่เชื่อโบราณสักหน่อยเหอะ  โบราณเขามีวิธีดูมาตั้งนมตั้งนานแล้ว  และไอ้ข้าเองก็ดูไม่เคยพลาด  ถ้าท้องนี้เป็นลูกสาวมาตัดคอข้าไปเลย  ถ้าข้ายังไม่ตายน่ะนะ"  พ่อเลยตอบแกแบบยั่วโมโหไปว่า  "ถ้าพ่อทายผิดและถ้าพ่อยังไม่ตาย  ไม่ต้องถึงตัดหัวหรอก  เพราะตำรวจเขาจะมาจับผมเอา  เอาแค่พ่อยอมพูดดี ๆ กับผมและเรียกผมว่าคุณลูกเขยทุกคำ  ผมก็พอใจแล้ว"

วันนั้นเป็นวันดีที่เดียวมันเหมือนย่นระยะความห่างระหว่างพ่อกับตาของหนูลง  หลายปีตาของหนูมึนตึงกับพ่อแต่ก็ได้หนูเป็นตัวเชื่อมทำให้เราได้พูดเล่นหวัวกันบ้าง  แต่พ่อก็บอกตามตรงนะว่าพ่อก็เชื่อสิ่งที่ตาหนูพูด  มิใช่ว่าสิ่งที่ตาหนูพูดเป็นสิ่งที่พ่ออยากฟังแต่มันเป็นสิ่งที่คนเก่าคนแก่ของเราได้เรียนรู้มา

คืนนั้นหลังจากที่แม่ของหนูนอนหลับไปแล้วพ่อก็หยิบกระดาษออกมาเพื่อจะเลือกชื่อให้หนู  แม้หลายคนที่พ่อรู้จักจะให้พระตั้งชื่อให้หรือให้คนเฒ่าคนแก่ที่เคารพตั้ง  แต่พ่อเห็นว่าชื่อของลูก  คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องตั้งเอง  ชื่อนั้นสำคัญไฉนพ่อคิดเช่นนี้เพราะคนโบร่ำโบราณชื่อไอ้หมาตาแมวก็มีตั้งมากมาย  การเอาชื่อลูกไปให้คนอื่นตั้งไฉนเลยจะซาบซึ้งเท่าตั้งเอง  คนอื่นหรือพระตั้งเขาก็เอาเพราะเอามีความหมายดีเป็นหลัก  แต่มันจะลึกซึ้งกินใจไหมล่ะ  ใครจะลึกซึ้งกินใจกับลูกเท่าคนเป็นพ่อเป็นแม่นั้นไม่มี   เพราะพ่อกับแม่คือคนที่อยู่และดูเวลาหนูตลอดเวลาและเฝ้าคอยการกำเนิดของหนูมากกว่าใคร ๆ ในโลกนี้  สักวันเมื่อหนูเจอบันทึกนี้แล้วได้อ่านหนูคงจะมีคำตอบอยู่ในใจว่า จริงหรือไม่...

พ่อนั่งคิดอยู่นาน  นานมาก  มันอาจจะเป็นเรื่องที่ทำให้พ่อใช้ความคิดนานที่สุดก็เป็นได้  เพราะพ่อเชื่อว่าชื่อนั้นจะติดกับตัวหนูไปจนตาย  แม้วันหนึ่งหนูอาจจะไม่ชอบชื่อที่พ่อตั้งให้แล้วไปเปลี่ยนแต่พ่อก็เชื่อลึก ๆ ว่าในสายตาของพ่อ  หนูก็ยังใช้ชื่อที่พ่อตั้งให้อยู่   เพราะชื่อที่พ่อตั้งให้นั้นอย่างที่บอกไปมันเต็มไปด้วยความหมายและความหวังและความเชื่อของพ่อที่มีต่อลูก  พ่อคิดอยู่เป็นชั่วโมงถึงได้ชื่อของหนู  อมรเทพ  ฟังดูเชยนะ  แต่สำหรับพ่อแล้วมันเพราะมาก  ทำไมพ่อถึงตั้งชื่อให้หนูแบบนี้รู้ไหม...

เพราะในสายตาของคนเป็นพ่อเป็นแม่ย่อมเห็นลูกเป็นเทวดา  ถ้ายังเล็กอยู่ก็เป็นเทวดาตัวน้อย ๆ แต่ถ้าโตขึ้นก็เป็นเทวดาตัวใหญ่ไง  พ่อกำปั้นทุบดินเกินไปหน่อยไหม...  ดังนั้นเมื่อหนูมีชื่อที่มีความหมายเป็น เทพเทวา หนูต้องทำตัวให้เหมือนกับเทพเทวา  ครองตัวอยู่ในทางแห่งความดี  พ่อแม่หลายคนอาจบอกว่าไม่ได้หวังอะไรในตัวลูก  แต่พ่อไม่เชื่อ  เพราะสิ่งที่พ่อเชื่อมาตลอดนั้นคือพ่อแม่ทุกคนในโลกนี้ล้วนตั้งความหวังไว้กับลูกทั้งนั้น  พ่อแม่บางคนก็บอกว่า  ไม่หวังอะไรกับลูกหรอก  แค่ให้เขาเป็นคนดีก็พอ  หนูเห็นไหมว่านั่นก็คือความหวังแล้วล่ะ  พ่อเองก็หวังจากลูกนะ  อยากให้หนูเป็นคนดี  มีฝีมือเอาตัวเองรอด  นี่คือเบื้องต้นของความหวังที่เป็นต้นทุน  แต่ถ้าหนูได้เป็นใหญ่เป็นโตเป็นคนมีชื่อเสียงในบ้านเราเมืองเราหรือระดับโลก  นั่นก็คือกำไร  เอาล่ะวันนี้พ่อคงต้องไปนอนเสียทีนั่งคิดชื่อให้หนูกว่าจะได้มาก็ดึกโขแล้วต่อด้วยการเขียนบันทึกอีก  พรุ่งนี้พ่อต้องไปทำงาน  ลืมไป...  พ่อตั้งชื่อให้หนูเป็นชื่อของลูกผู้ชายแล้วถ้าหนูเกิดมาเป็นผู้หญิงพ่อจะทำไงดี  อย่าน้อยใจนะถ้าลูกเป็นผู้หญิง  อย่าคิดว่าพ่อไม่ได้เตรียมชื่อไว้ให้ล่ะ  พ่อเตรียมไว้แล้วล่ะ  น่านนที  เพราะพ่อเป็นคนพิษณุโลกรักแม่น้ำน่านที่บ้านเกิดเอาไว้มาต่อพรุ่งนี้นะ  ดีเหลือเกินการเขียนบันทึกถึงลูกเนี่ยเพราะมันไม่ใช่แค่บันทึกถึงลูกเท่านั้นมันยังเป็นการเขียนบันทึกให้พ่อได้รฤกถึงเรื่องราวที่พ่อเกือบจะหลงลืมมันไป  แม้ยังไม่ได้เห็นหน้าลูกแต่พ่อก็รักลูกมาก

ผมรู้สึกเต็มตื้นที่ได้รับรู้ถึงความรักของพ่อแม้มันเหมือนจะดูสายไปแล้วก็ตามที  เพราะตั้งแต่ผมจำความได้ผมจำได้แต่เพียงความเข้มงวดของพ่อซึ่งมันค่อนข้างจะขัดแย้งกับความอ่อนโยนที่เห็นในบันทึกนี้  บางทีผมเคยสงสัยว่าในวัยเด็กพ่อเคยอุ้มผมหรือไม่   แต่วันนี้ไม่เพียงผมจะได้รู้ว่าพ่อรักผมแค่ไหน  ผมยังอยากกอดพ่อเหลือเกิน...  ถ้าผมได้มีโอกาสอีกครั้ง  ผมเปิดบันทึกหน้าต่อไป

เมื่อวานพ่อเล่าไปว่าถ้าหนูเป็นลูกสาวพ่อจะตั้งชื่อให้ว่า น่านนที  รู้ไหมเพราะอะไร ?  หนูคงไม่รู้หรอกแต่หนูต้องเข้าใจเลยว่านิสัยของคนทั่วไปเกือบทั้งโลกชอบตั้งคำถามทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจดีว่าอีกฝ่ายคงไม่มีทางรู้คำตอบ  แต่เมื่อพ่อมานั่งอ่านตอนนี้ น่านนที เนี่ยก็เป็นชื่อของผู้ชายได้นะเนี่ย  แต่เอาเถอะพ่อแบ่งแยกไปแล้วหวังว่าเมื่อโตขึ้นหนูได้มาอ่านบันทึกนี้แล้วคงไม่คิดอยากแปลงเพศนะลูกนะ

มาเข้าเรื่องกัน...  อย่างที่พ่อเขียนบอกไว้แล้วว่าพ่อเป็นคนพิษณุโลกและพ่อก็รักแม่น้ำน่านที่ไหลผ่านบ้านพ่อ  แต่มันก็ไม่ได้มากมายพอที่จะให้เอามาเป็นชื่อหนูแต่ที่ทำให้มันมีค่ามากนั่นก็เพราะความทรงจำที่พ่อมีร่วมกับแม่ของหนู   พ่อกับแม่เจอกันที่ริมน้ำน่านพ่อกำลังนั่งตกปลาส่วนแม่เอาเสื่อมาปูใกล้ ๆ นั่งอ่านหนังสือ  แม่ของหนูไม่ได้เหลือบแลมามองพ่อเลยแต่พ่อในสมัยนั้นก็หนุ่มกระทงแม้ไม่หล่อเฟี้ยวก็ตามที  แต่ด้วยความหนุ่มแน่นเลือดหนุ่มมันพลุ่งพล่านพอได้เห็นผู้หญิงก็เป็นต้องได้เหลียวมอง  หะแรกคิดว่าถ้าไม่สวยก็คงแซวเฉย ๆ แต่พอได้เห็นหน้าแม่ของหนูเท่านั้นพ่อก็ถึงกับพูดไม่ออก  แม่ของหนูไม่ใช่คนสวยแต่มีอะไรบางอย่างที่ชวนมอง  ยิ่งพ่อมองนานเข้าก็พบว่าไม่อาจละสายตาจากแม่ของหนูได้เลย  แม่ของหนูไม่ได้มีดีที่หน้าตาแต่เธอมีความงดงามต่างหากล่ะ  ไม่ใช่แค่ดวงหน้าเท่านั้นนะแม่หนูงดงามทั้งกิริยา  ตอนที่พ่อเข้าไปทำความรู้จักด้วยเธอไม่พูดไม่จาเหมือนไม่สนใจพ่อก็ล้อหนักเข้ากะจะเอาตลกเข้าว่าเพื่อให้แม่หนูสนใจ  แม่หนูก็ขำกับท่าทีของพ่อนะแต่เธอยิ้มออกมาไม่ให้พ่อเห็นแม้แต่ไรฟัน  แต่กระนั้นการที่พ่อเห็นรอยยิ้มแบบไม่เปิดปากหรือจะเรียกว่ายิ้มแบบแปลก ๆ ของแม่หนูนั้นกลับทำให้พ่อคิดว่ามันเป็นรอยยิ้มที่งดงามกว่าที่พ่อเคยเห็นจากที่ไหน ๆ มาเลยทีเดียว

พ่อมาดักรอแม่ทุกวันชวนพูดชวนคุยหยอกเอินเล่นหัวทำทุกอย่างเพื่อให้แม่หนูสนใจ  แต่แม่หนูก็นิ่งและอ่านหนังสือต่อซึ่งพ่อมาสังเกตเห็นทีหลังว่ามันคือหนังสือเรียน  ทีแรกพ่อก็นึกว่าแม่หนูมานั่งอ่านนิยายประโลมโลก บ้านทรายทอง วนิดา อะไรเทือกนี้  ทันทีที่แม่อ่านจบแม่ของหนูก็จะนั่งในท่าสบายบนเสื่อและทอดสายตาไปมองผืนน้ำที่สงบและเยือกเย็น  สีหน้าของแม่หนูตอนมองแม่น้ำนั้นเกินกว่าความสามารถของพ่อจะบรรยายได้  พ่อเลยชวนคุยเรื่องแม่น้ำ  ซึ่งมันกลับได้ผลเพราะแม่หนูเป็นคนรักธรรมชาติรักความสงบ  ซึ่งก็ตรงกับนิสัยพ่อ  จากนั้นมาพ่อก็เทียวมาพบเจอแม่ทุกวัน  ริมน้ำน่านคือที่นัดพบและก่อร่างสร้างรักของพ่อและแม่

พ่อบอกรักแม่ริมน้ำน่านแห่งนี้หลังจากเราพบกันทุกวันเป็นเวลาหนึ่งปี  พ่อรักแม่ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยสัมผัสกันแม้แต่นิด  แต่เพราะความผูกพันและสิ่งที่เรามีเหมือนกันหนึ่งปีที่ผ่านมาจึงเป็นช่วงแห่งความสุขและพ่อก็จะไม่มีวันปล่อยให้มันผ่านไป  ในตอนที่พ่อบอกคำ "รัก" แก่แม่ของหนูนั้นพ่อคิดว่าถ้าเธอไม่รับรัก  มันก็จะไม่ทรมานอีกต่อไป  เพราะในเวลานั้นพ่อรู้ตัวเลยว่ายิ่งนานเพียงไรพ่อก็ยิ่งรักแม่หนูมากขึ้นทุกวัน  ถ้าเวลาผันผ่านไปอีกโดยที่เราไม่ได้คุยและพูดจากันให้รู้เรื่องแล้วอยู่ ๆ พ่อถูกแม่ของหนูสะบั้นรักลง  พ่อไม่แน่ใจจริง ๆ ว่าพ่อจะมีแรงอยู่บนโลกนี้ต่อไปได้หรือไม่...

เมื่อแม่หนูได้ยิน เธอเอียงอายหน้าแดงและก้มหน้าลงแต่ในแวบนั้นเองพ่อก็เห็นแววตาที่หวาดวิตกเกิดขึ้นในสายตาของแม่  พ่อรู้ว่าแม่หนูมีใจให้กับพ่อแน่นอนแต่ต้องมีเหตุบางอย่างที่เธอต้องวิตก  พ่อเลยถามไปแม่หนูก็ตอบมา  แม่ติดตรงคุณพ่อเป็นคนเข้มงวดและอีกอย่างในเวลานี้ก็ยังอยู่ในวัยเรียนไม่ควรริรัก  แม่ของหนูสำทับว่าถ้าจะให้คุณพ่อยอมรับพ่อต้องดีพอ  ในเวลานั้นพ่อเป็นเด็กเกกมะเหรกไม่ร่ำไม่เรียนได้แต่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ตื่นเช้าเข้าไร่เข้านาตกบ่ายตกปลาล่าสัตว์มีชีวิตอยู่กับป่ากับดงไม่อนาทรกับอนาคตคิดเอาเสียแต่ว่ามีสองมือคงไม่อดตาย  หิวหนักก็หยิบหนังกระติ๊กหน้าไม้ออกล่า  เบื่อสัตว์บกก็คว้าเบ็ดตกปลากินสัตว์เนื้ออ่อน  ข้างรั้วรึก็มีพืชพันธ์มากมายทำน้ำพริกได้หลายชนิดเดินเข้าดงไปก็มีผักต้มแกล้ม  จะอะไรกันนักหนา

แต่ในเวลานั้นพ่อรู้เลยว่าแม่หนูกำลังหมายความว่าอย่างไร  พ่อจึงตั้งสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าแม่น้ำและพาแม่ของหนูไปวัดพ่อใหญ่กลางเมือง  พ่อไม่ได้ตั้งสัตย์สาบานรักแบบที่ไอ้ขวัญอีเรียมทำกันนะ  พ่อเพียงพาแม่หนูไปดูว่าพ่อจะไปขอพรจากองค์พ่อใหญ่ว่าจากนี้ไปพ่อจะตั้งหน้าตั้งตาสร้างอนาคตเพื่อจะดีพอในสายตาของพ่อตาในอนาคต  ขอให้พ่อใหญ่อำนวยพรให้กับพ่อ  จากวันนั้นมาชีวิตพ่อเปลี่ยนไปพ่อกลับไปเข้าโรงเรียนเรียนแบบตั้งใจจะเอาดีให้ได้พ่อพากเพียรเรียนศึกษาหางานทำและก่อร่างสร้างตัวพ่อใช้เวลาถึงสิบปีเต็มซึ่งพ่อก็ได้ดีมาในระดับหนึ่งมีอาชีพที่คนนับหน้าถือตา  เงินเดือนแม้จะน้อยนิดแต่ก็อาศัยทำงานพิเศษเพื่อเก็บหอมรอมริบจนมีหน้ามีตาในบ้านเกิดเมืองนอน  สุดท้ายพ่อก็หน้าด้านหน้าทนจนพ่อของแม่ยกแม่ให้กับพ่อ  และในวันที่เราจะแต่งงานนั้นพ่อพาแม่มาที่ริมแม่น้ำน่านจุดที่เราทั้งสองได้พบกันครั้งแรกและใช้เวลาร่วมกันพ่อจับมือแม่ไว้และพูดว่า  "เมื่อสิบปีที่แล้วผมรักคุณอย่างไร  วันนี้มันก็ไม่ได้น้อยลง  วันนั้นผมสัญญากับคุณครั้งแรกตรงนี้  วันนี้ผมก็จะให้สัญญาอีกครั้ง"

แม่หนูถามว่า  "สัญญาอะไรคะ"  แล้วทำหน้าเอียงอาย  "ฉันไม่ได้ขอสักหน่อย"

พ่อตอบแม่ว่า  "สัญญาว่าผมจะรักคุณตลอดไปและผมจะทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวของเรา"

เห็นไหมลูกว่า  น่านนที มันมีที่มาที่ไปอย่างไร  เอาล่ะพ่อต้องไปบีบนวดให้แม่หนูหน่อยแล้ว  คนท้องนี่ก็หนักก็เหนื่อยไม่ใช่เล่นนะนี่  แม่หนูลำบากมากนะลูกเมื่อโตขึ้นมาหนูต้องรักและบูชาแม่ของหนูมาก ๆ ล่ะ  (เห็นไหมนี่ก็คือความคาดหวังของคนเป็นพ่อเป็นแม่อีกแหล่ะ)

จากนั้นผมก็พลิกไปอ่านไปเรื่อย ๆ จนมีหยดน้ำหล่นใส่หน้ากระดาษเป็นจุดจึงทำให้ผมได้รู้ว่าผมกำลังร้องไห้  ผมเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงร้องไห้ออกมาเพราะความรู้สึกของผมที่มีต่อพ่อตลอดมา  ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองรักผู้ชายคนที่เรียกว่า พ่อ  แต่วันนี้ผมถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วความคิดที่ว่าผมไม่มีความรักให้พ่อนั้นมันเป็นเรื่องที่ผิด  ความรักนั้นมีอยู่แต่เพียงผมนั้นเอาอิฐมาก่อกำแพงกั้นทำให้มองไม่เห็นพิจารณาไม่ออกว่าสิ่งที่พ่อทำไปทั้งหมดนั้นก็เพื่อตัวผมสิ่งที่ทำเพื่อผมมาตลอดนั้นท่านทำเปี่ยมด้วยความรัก  ผมเปิดอ่านมาจนถึงวันที่ผมเกิด

วันนี้แม่ของลูกเข้าห้องคลอดแล้ว  พ่อเป็นห่วงเหลือเกินว่าลูกจะออกมาตัวเหลืองผิดมนุษย์เพราะตลอดเวลามาแม่หนูไม่ค่อยกินข้าวกินอะไรจะกินก็แต่ ขนุน บางวันกินถึงสองโลซึ่งตลอดเวลาตั้งแต่ที่แพ้ท้องวันแรกจนถึงวันนี้ที่หนูคลอดแม่หนูไม่กินอย่างอื่นเป็นชิ้นเป็นอันนอกจากขนุน  ดังนั้นการที่พ่อกลัวว่าหนูจะออกมาแล้วตัวเหลืองคงไม่ใช่เรื่องเกินเลยไปใช่ไหม  ก่อนพาแม่เข้าห้องคลอดพ่อได้ย้ำนางพยาบาลเป็นนักหนาว่าให้ดูเวลาเกิดของหนูให้แน่นอน  พ่อถึงขั้นถอดนาฬิกาส่งให้พยาบาลเพื่อให้ดูให้ชัวร์ว่าหนูเกิดกี่โมงกี่นาที  พ่อก็ยังเป็นคนหัวเก่าอยู่ล่ะลูกแม้บางทีความคิดของพ่อจะแหวกแนวไปบ้าง  แต่ในเรื่องแบบนี้พ่อก็ต้องมีที่ต้องการเอาเวลาให้เป๊ะนั้นจะได้เอาไปผูกดวง  เพราะพ่อดูในปฏิทินโหรแล้วในช่วงนี้มีวันดีหลายวันถ้าเวลาเกิดดี ๆ ลัคนาอยู่ถูกที่ถูกทางหนูอาจเป็นเจ้าคนนายคนมีชื่อเสียงเกริกก้องเกรียงไกร 

แม่หนูเข้าห้องคลอดนานแค่ไหนไม่รู้แต่พ่อรู้สึกว่ามันนานเหลือเกิน  แล้วจู่ ๆ ฝนก็ตกพ่อชะโงกหน้าออกไปมองทางหน้าต่างเห็นว่าฝนลงเม็ด  ฝนตกมันมีหลายแบบนะลูกถ้าเชื่อโบราณบานบุรีก็ต้องบอกว่าจะดีชั่วดูฝนก็จะรู้  ถ้าตกหนัก ๆ แบบต้นหญ้าโงหัวไม่ขึ้น  เขาเรียกว่า เทวดาล้างแผ่นดิน  ซึ่งเชื่อกันว่าคนเลว ๆ ลงมาเกิดหรือคนเลว ๆ ในแผ่นดินกำลังจะตาย  ถ้าฝนตกเบาหน่อยแต่ท้องฟ้ามืดครึ้ม  เขาเรียกว่า เทวดาร้องไห้  ซึ่งเชื่อกันว่า คนดี ๆ หรือผู้ยิ่งใหญ่กำลังจะจากไป  แต่วันนี้ฟ้าโปร่งมองเห็นดาวแต่มีสายฝนร่วงลงมาต้องต้นไม้ใบหญ้าให้ชุ่มชื้น  พ่อเชื่อเหมือนหลาย ๆ คนว่า  ฝนแบบนี้เรียกว่า เทวดาอวยพร  ขณะที่พ่อมองหน้าต่างอยู่นั้นนางพยาบาลก็เรียกพ่อให้ไปดู  เขาแจ้งพ่อว่าหนูคลอดแล้ว  พ่อหาคำบรรยายความรู้สึกในเวลานั้นไม่ออกเลยจริง ๆ สรุปได้สั้น ๆ ว่า ตื้นตันเหลือเกินที่จะได้เห็นหน่อเนื้อและสายเลือดของพ่อ

ทันทีที่พยาบาลอุ้มหนูมาให้  พ่อน้ำตาไหลซึ่งเหมือนกันกับแม่  หนูไม่ได้น่ารักเลยไม่ได้เหมือนเด็กในรูปที่แม่พยายามมองทุกวัน  เออ... พ่อลืมเล่าไปใช่ไหมพ่อขอเล่าเรื่องนี้คั่นก่อนนะ  มีคนบอกแม่ว่าถ้าอยากให้เด็กเกิดมาผิวดีกินน้ำมะพร้าวเยอะ ๆ แต่ถ้าอยากให้ออกมาหน้าตาดีให้ดูรูปเด็กน่ารัก ๆ เลือกเอาว่าอยากน่ารักแบบฝรั่ง ญี่ปุ่น จีน หรือแบบไหนก็เลือกซื้อมาติดให้รอบแล้วดูก่อนนอนทุกวัน  แต่แม่หนูชอบแบบแขกเลยไปซื้อรูปเด็กแขกมาดูซึ่งพ่อก็ว่าน่ารักดีแหล่ะมันเป็นรูปเทพเจ้าแขกตอนเด็ก ๆ ที่พ่อแน่ใจเพราะเห็นรูปหนึ่งเป็นเด็กแขกเป่าขลุ่ยตัวอ้วนจ้ำม่ำบนหัวมีผ้าโพกประดับด้วยขนนกยูงเพราะนั่นคือสัญลักษณ์ของ กฤษณะ แห่ง มหาภารตะ  ซึ่งโตขึ้นหนูคงได้อ่านเองล่ะ  ถ้าจะให้พ่อเล่าตอนนี้มันคงจะยาวยืดกินพื้นที่สมุดบันทึกนี้ไปหมด  แต่พอหนูออกมามันไม่เหมือนเลยหนูตัวเล็กเหลือเกินทุกอย่างเล็กไปหมด  แต่ผมหนูยาวเกินเด็กวัยเดียวกัน  มือเต็มเท้าเต็มแม้จะตัวน้อยแต่ลักษณะก็ดีที่สำคัญมือหนูวางบนอกประสานกันเหมือนพนมมือตลอดเวลา  

พยาบาลก็บอกว่าเด็กออกมาส่วนใหญ่จะกำมือแต่หนูแบมือ  พ่อก็บอกพยาบาลว่า ลูกของผมเนี่ยต้องเป็นคนมีบุญมาเกิดแน่ ๆ เลย  เพราะเด็กส่วนใหญ่เกิดมากำมือแสดงความหมายว่าจะยึดเอาทุกสิ่งทุกอย่างไว้  แต่หนูแบมือคือผู้ให้เป็นผู้เสียสละ  พยาบาลไม่รู้จะคิดอย่างไรกับสิ่งที่พ่อพูดไปเพราะเธอทำหน้าแปลก ๆ ยิ่งตอนที่พ่อเอ่ยชมว่ามือหนูเป็นมือพระเท้าเป็นเท้าพระยาราชสีห์เธอยิ่งทำหน้าแปลกใหญ่มองพ่อเหมือนว่าพ่อเป็นคนบ้าอย่างไงอย่างนั้น  ใครจะคิดอย่างไรก็ช่างเถอะ  เพราะพ่อก็ว่าตามตำรา 

จากนั้นพ่อก็ได้เจอแม่หนู  พ่อถามด้วยความเป็นห่วงว่าหนูคลอดง่ายไหม  หนูทำให้แม่เจ็บตัวมากไหม  แม่บอกแต่ว่าไม่เจ็บเลยและแทบไม่รู้สึกอะไรด้วย  พ่อถามว่า ทำไม  แม่บอกว่า  เพราะตอนที่พยาบาลบอกให้เบ่งนั้นมันก็เจ็บอยู่แต่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนางพยาบาลลุ้นจัดเผลอตดออกมา  ไม่รู้ว่าเพราะเหม็นหรือตกใจแม่เลยสลบไปแล้วตอนนั้นเองลูกก็คลอดออกมาซึ่งก็แปลว่าหนูไม่ได้ทำความเจ็บปวดให้แม่เลยแม้จะเป็นเรื่องบังเอิญและออกจากตลกก็เถอะ  แต่โดยรวมจะบอกว่าหนูเกิดอย่างคนมีบุญก็คงไม่ผิดนัก

ผมอ่านบันทึกของวันที่ผมเกิดอย่างใจจดจ่อและก็หนาววูบไปถึงกระดูก  ผมนึกไม่ถึงเลยว่าพ่อจะเห็นผมสำคัญถึงเพียงนี้ถ้าในโลกจะมีใครสักคนยกย่องและบูชาผมที่สุดคงหนีไม่พ้นพ่อเป็นแน่แท้  ผมเปิดอ่านหน้าต่อไปและหน้าต่อไป  ผมน้ำตาไหลออกมาเป็นสายเพราะผมสิ่งที่อ่านไปนั้นทำให้ผมทราบว่าผมไม่สบายตั้งแต่เด็กต้องอยู่ในตู้แช่พ่อต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อซื้อน้ำแข็งมาใส่ตู้   จ่ายค่ายาค่ามดหมอพ่อเขียนว่าในตอนนั้นพ่อต้องขายบ้านไปสองหลังเป็นบ้านที่ซื้อเก็บไว้เก็งกำไรในภายหน้าแถมยังต้องเอาทองที่เก็บไว้ไปขายอีกเกือบสามสิบบาท   แถมยังไม่หมดปัญหาเพราะต่อมาผมก็เกิดแพ้อาหารทานทุกอย่างที่มาจากสัตว์ไม่ได้  ทานไปแล้วเกิดอาการแพ้  บางทีแพ้หนักเกิดช็อกขึ้นมาพ่อกับแม่ต้องแก้ปัญหาด้วยการซื้อนมถั่วเหลืองแบบกระป๋อง  พ่อเขียนบันทึกไว้ว่า

หนูรู้ไหมหนูเป็นเด็กพิเศษแม้พ่อจะต้องหมดค่ารักษาไปมากแต่พ่อก็เต็มใจและพ่อก็มองโลกในทางที่ดีเสมอ  พ่อเห็นว่าการที่หนูกินนมวัวนมแม่ไม่ได้เพราะหนูเป็นลูกพระ ซึ่งอาจเป็นเพราะตอนที่พ่อยังไม่มีลูกได้ไปบนบานขอกับพ่อใหญ่หลวงพ่อพระพุทธชินราชมา  น้าของลูกซึ่งเป็นหมออยู่ในกรุงเทพก็ได้แนะนำให้ลูกกินโปรโซบีซึ่งเป็นนมถั่วเหลืองและมันมีราคาแพงมาก  ซึ่งในเวลานั้นค่านมบวกค่ารักษาหนูพ่อก็แถบไม่มีเงินเหลือ  ทั้งที่พ่อทำงานทั้งในเวลาและนอกเวลาเงินที่จะหามาเลี้ยงดูลูกก็ดูเหมือนจะไม่พอ  พ่อเลยตัดสินใจทำนมถั่วเหลืองให้ลูกกินเอง

พ่อไปขอสูตรจากยายพวงหน้าตลาด  ยายแกก็เต็มใจบอกพ่อต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อมาทำนมถั่วเหลืองให้หนูแล้วก็แช่ไว้ในกระติกน้ำแข็งซึ่งประหยัดไปได้มากพ่อดู  แต่พ่อก็อดหวั่นใจไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรดีถ้าหนูขืนกินเนื้อสัตว์นมสัตว์ไม่ได้อยู่อย่างนี้  หนูจะเติบโตและแข็งแรงได้อย่างไร

วันนี้ผมแทบไม่เชื่อตัวเองว่าเคยผ่านสภาพแบบนั้นมาก่อน  เพราะขณะนี้ผมสูงเกือบเท่าพ่อคือร้อยแปดสิบเซนต์ติเมตรน้ำหนักเจ็ดสิบห้ากิโล  ซึ่งถือได้ว่าสมส่วนและแข็งแรงมาก  ผมทำใจเชื่อได้ยากว่าในอดีตผมเป็นเช่นนั้นและพ่อแม่ก็ไม่เคยเล่าให้ฟังได้แต่พูดกรอกหูผมตั้งแต่เด็กว่า

"ตอนเด็ก ๆ หนูเลี้ยงยากมากนะ  ดังนั้นตอนโตต้องทำตัวให้สมกับที่พ่อแม่พยายามประคับประคองหนูมา"

ผมอ่านบันทึกต่อไปเพราะอยากรู้ว่าพ่อจะแก้ปัญหาอย่างไรและเพราะอะไรผมถึงเติบโตได้แบบในวันนี้  เปิดไปไม่นานก็พบข้อความที่พ่อบันทึกไว้  ท่านเขียนว่า

"วันนี้พ่อไปที่สมาคมมังสวิรัตมาเพราะพ่อตัดสินใจไปบนบานกับ หลวงพ่อเพชร วัดท่าหลวง และ หลวงพ่อพุทธชินราช วัดใหญ่ ว่า  ตอนนี้ลูกของลูกช้างกินเนื้อสัตว์ไม่ได้กินได้แต่ผักหญ้ากับนมถั่วเหลือง  ถ้าปล่อยไว้แบบนี้เด็กจะตัวเล็กและแคระแกลน  ถ้ายังไงหลวงพ่อช่วยเมตตาลูกของลูกช้างทีเถอะและลูกจะกินมังสวิรัตถวายหลวงพ่อสามปี  ลูกช้างเติบโตมาจนจะครึ่งคนแล้วลูกช้างขาดอาหารไปบ้างลูกช้างยังอยู่ไหว  แต่ลูกของลูกช้างเด็กนักและถ้าลูกของลูกช้างกินนมสัตว์หรือกินเนื้อสัตว์ได้  ลูกช้างจะให้ลูกของลูกช้างบวชถวายหลวงพ่อเมื่อมันโตขึ้น"

ผมเคยได้ยินพ่อพูดไว้เหมือนกันแต่ผมก็ผลัดผ่อนมาแล้วไม่รู้กี่หน  จนพ่ออ่อนใจได้แต่ย้ำว่า

"พ่อไปบอกหลวงพ่อเพชรหลวงพ่อใหญ่ไว้  เมื่อลูกสะดวกเมื่อไหร่ก็บวชแล้วกัน  ไม่งั้นอาจเกิดเรื่องร้ายแรง  ผิดคำกับคนหนักหน่อยก็โดนชกปากหนักหน่อยก็โดนแจ้งความ  แต่ถ้าผิดคำกับพระคู่บ้านคู่เมือง  ถึงตายนะลูก" 

แต่จนแล้วจนรอดวันนี้ผมก็ยังไม่ได้บวชแต่ผมก็หาเหตุผลเข้าข้างตัวเองได้เพราะที่ผ่านมาผมต้องเรียนและทำงานยังหาเวลาไม่ได้  แต่เมื่อมาถึงวันนี้ผมกลับอยากบวชใจแทบขาดอย่างน้อย ๆ ผมก็อยากให้พ่อได้เห็นผ้าเหลือง  ผมพลิกสมุดบันทึกไปเรื่อยได้ซึมซับเรื่องราวในวัยเด็กผ่านตัวหนังสือจนมาถึงตอนหนึ่งผมก็ได้รับคำตอบว่าเหตุใดพ่อถึงดูเย็นชากับผม  ตั้งแต่เมื่อผมจำความได้แม่น  ถ้าอ่านจากวันที่ดูก็รู้ได้ทันทีว่าตอนนั้นผมอายุประมาณแปดขวบ  พ่อได้เขียนว่า

"วันนี้ก็เข้าวันเกิดปีที่แปดของลูก  ลูกเติบใหญ่มากจนคิดว่าอีกไม่กี่ปีคงโตทันกัน  แต่เป็นห่วงลูกเหลือเกินเพราะวันนี้ได้เจอเพื่อนที่ทำงาน  เขาได้เล่าให้ฟังถึงการต่อสู้ชีวิตให้ได้ฟัง  เขาบอกว่าในยุคพ่อของพวกเรานั้นแค่ เก่ง อย่างเดียวก็เอาตัวรอดได้  แต่พอมาในยุคเราถ้าจะอยู่รอดในสังคมแบบไม่ถูกใครเหยียบหัวต้อง เก่ง และ เฮง  แต่ในยุคของลูกเราเพื่อนมันถอนหายใจและบอกว่า  เก่ง และ เฮง ยังไม่พอเลยต้องบวก เจ๋ง ขึ้นมาอีกตัว 

พ่อก็มานั่งสำรวจตัวเองว่าตลอดเวลาพ่อเลี้ยงลูกมาแบบไข่ในหินแทบไม่ได้ให้อำนาจลูกในการตัดสินใจไม่ได้ให้โอกาศที่ลูกจะพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตัวเอง  อีกอย่างเมื่อวันเด็กที่ผ่านมาลูกได้มาย้ำกับพ่อเป็นหนที่ร้อยแล้วมั้งย้ำบอกพ่อว่า  "หนูอยากเป็นทหาร  โตขึ้นหนูต้องเป็นทหารให้ได้"  ถ้าพ่อยังเลี้ยงลูกแบบคอยตามเช็ดก้นให้แบบนี้  ลูกจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรจะตามความฝันที่ลูกมีได้อย่างไร  ตั้งแต่วันนี้ไปพ่อคงต้องทำใจแข็งกับลูก  พ่อจะไม่ตามใจพ่อจะเลี้ยงลูกและสอนให้ลูกเป็นมนุษย์ที่จะกล้าเผชิญกับโชคชะตาในวันข้างหน้าให้ได้  

พ่อต้องไม่มองยามลูกล้ม  ไม่ช่วยโอ๋ยามลูกเจ็บ  ไม่กล่อมยามลูกนอน  ไม่ช่วยเหลือยามลูกมีอุปสรรค  ลูกของพ่อต้องชินกับการตัดสินใจด้วยตัวเองลูกต้องเด็ดเดี่ยว  เพราะมันเป็นการปลูกฝังลูกให้เป็นทหารได้ด้วยในอนาคต  แม้พ่อจะต้องทำใจแข็งกับลูกและลูกอาจเข้าใจพ่อผิด  แต่อมรเทพเอ๋ยลูกเชื่อเถอะว่า  ความรักของพ่อที่มีต่อลูกไม่เคยน้อยลงไปแม้แต่นิดเดียว

ผมถึงกับร้องไห้โฮออกมาน้ำหูน้ำตาทะลักไหลผมอยากย้อนเวลากลับไปในอดีตได้  กลับไปในวันที่พ่อยังมีชีวิตอยู่อยากกราบเท้าของท่านเอาปากจูบเท้าท่านมอบความรักให้ท่านให้ได้มากที่สุดเท่าที่มนุษย์ด้วยกันจะให้ได้   ผมเมินเฉยต่อพ่อมาตลอดหลายปีเพราะคิดว่าพ่อภาษาอะไรเลี้ยงลูกให้ลำบาก  แข็งขืนกับลูกตลอดเวลา  เฉยเมยและปล่อยให้ผมยืนอยู่เดียวดาย  ผมหาได้รู้ไม่เลยว่าพ่อคอยยืนอยู่ข้างหลังและมองแผ่นหลังผมตลอดเวลา  ท่านคงไม่ยืนเฉยแน่ถ้าเห็นว่าผมกำลังจะล้มลง 

"พ่อ"  ผมเรียกออกมาเบา ๆ

ผมก้มหน้าลงปล่อยให้น้ำตามันหยดราดรดพื้นที่ห้องนอนของพ่อที่ที่ท่านนอนลงก่อนจะสิ้นลมหายใจ  ผมกอดสมุดบันทึกไว้กับอกกอดมันแน่นสะอื้นไห้จนตัวสั่นเทิ้ม  ในขณะนั้นเองก็มีซองจดหมายซองหนึ่งไหลออกมาจากสมุดและร่วงลงสู่พื้น  มันตกลงบนหยดน้ำตาของผมที่เพิ่งหล่นไปเมื่อสักครู่น้ำตาซึมซองจดหมายจนเป็นด่างดวง  ผมหยิบซองขึ้นมาซองจดหมายยังดูใหม่เหมือนเพิ่งซื้อมาเมื่อพลิกดูหน้าซองก็เห็นลายมือของพ่อที่จ่าหน้าถึงผม   แถบกาวด้านหลังผนึกมิดชิดผมวางสมุดบันทึกบนชั้นหนังสือก่อนมองรอบตัวเพื่อหามีดหรือกรรไกรเพื่อจะเปิดซอง  แต่ไม่เจอจึงได้แต่เอามือฉีกมุมซองอย่างละเอียดที่สุดเพื่อมิให้เผลอพลั้งไปโดนเนื้อจดหมาย

"เทพลูกรักของพ่อ 

พ่อได้เอาจดหมายนี้แนบไว้ในบันทึกที่พ่อเคยเขียนถึงลูกโดยหวังว่าเมื่อลูกพบเจอสมุดบันทึกลูกคงจะได้อ่านมันและก่อนจะได้อ่านจดหมายลูกคงจะเข้าใจที่มาที่ไปและความรู้สึกของพ่อที่มีต่อลูก  วันนี้พ่อไปไหว้พ่อใหญ่กราบลาท่านเพราะคงไม่มีโอกาสอีกแล้วที่จะได้มากราบไหว้ท่านอีก  ท่านเป็นที่พึ่งของพ่อมาเสมอและพ่อก็หวังว่าลูกจะให้ความเคารพท่านเหมือนที่พ่อเคยศรัทธา

พ่อรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกที่แม่ของลูกได้จากไปก่อนหน้านี้แล้ว  เพราะถ้าแม่อยู่ถึงวันนี้แล้วเจอแบบพ่อ พ่อก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าแม่จะรับมืออย่างไร  ตั้งแต่เล็กมาพ่อกับแม่ได้ดูแลหนูอย่างดีที่สุดเท่าที่เราจะทำกันได้  พ่อไม่อาจบอกได้ว่าพ่อเลี้ยงดูลูกดีที่สุดแต่พ่อเชื่อมั่นว่าพ่อกับแม่ทำดีที่สุด  สิ่งที่ดีที่สุดของความเป็นพ่อแม่คือการได้มอบความรักอย่างสุดจิตสุดใจให้กับลูกของเราและพ่อเชื่อว่า  พ่อแม่เกือบทุกคนในโลกจะคิดแบบนี้  (ถ้าพ่อแม่ของใครไม่คิดแบบนี้  ให้ลูกประณามไปเลยว่าเป็นพ่อแม่ที่เลวชาติ) 

แม้เราสองคนจะเลี้ยงลูกมาด้วยความยากลำบากแต่เราก็มีความสุขเมื่อเห็นลูกเติบโต  คำที่ว่าพ่อแม่ไม่อิ่มขอให้ลูกได้กินอิ่มเป็นพอเป็นความจริงและมันก็เกิดกับเราทั้งคู่  แต่หนูก็เป็นลูกที่ดีไม่เคยทำตัวเสื่อมเสียให้พ่อให้แม่ได้ผิดหวัง  แต่วันนี้วันที่พ่อต้องเขียนจดหมายถึงลูกนั้นเพราะพ่อมีปัญหากับตัวพ่อเอง  พ่อสุขภาพแข็งแรงดีไม่มีโรคภัยอะไรแม้จะคิดถึงแม่ของลูกอยู่มากโข  เพราะเขาชิงหนีพ่อไปสวรรค์ก็หลายปีแล้ว  แต่ปัญหาที่พ่อมีในวันนี้นั้นเป็นเพราะพ่อยึดมั่นเกินไปและพ่อไม่อาจจะอยู่สู้หน้าใครบนโลกนี้ได้เท่านั้นเอง

ลูกจำได้ไหมเมื่อหลายเดือนก่อนที่พ่อโทรไปหาลูกแล้วถามเรื่องสถานการณ์การชุมนุมเรียกร้องทางการเมือง  ในเวลานั้นมีข่าวว่ามีการยิงกันกลางเมืองและมีผู้ชุมนุมหลายคนจากโลกนี้ไปเพราะลูกกระสุน  พ่อหวังว่าลูกจะจำได้นะ 

ลูกรู้ไหมว่าผู้เสียชีวิตนั้นมีคนรู้จักของพ่ออยู่ด้วย  เขาเป็นลูกของเพื่อนพ่อเอง  เพื่อนพ่อคนที่บอกว่าในยุคสมัยของลูกนั้นถ้าจะอยู่รอดได้ต้อง เก่ง เฮง เจ๋ง นั่นแหล่ะ  (ถ้าหนูยังไม่ได้อ่านบันทึกก็เสียเวลาอ่านซะหน่อยนะลูก)  เขามีลูกและเลี้ยงดูลูกอย่างที่พ่อเลี้ยง  เลี้ยงแบบให้ยืนด้วยตัวเองกล้าคิดด้วยตัวเองและทุ่มเทความรักให้แก่ลูกของเขา 

เขาได้จากโลกนี้ไปก่อนหน้าที่พ่อจะโทรหาลูกหนึ่งวัน  เพราะอะไรรู้ไหมเพราะเพื่อนพ่อโทรมาหาพ่อเพื่อบอกว่า 

"ลูกมึงยิงลูกกูตาย  ลูกมึงเหี้ยมโหดมากทำไมต้องยิงลูกของกู  ไอ้สัตว์เอาลูกกูคืนมา"  มันพูดซ้ำไปซ้ำมาจนพ่อทุ่มเถียงกับมัน  มันเลยบอกพ่อว่า  "ก็ตอนที่ทหารยิงประชาชนกูอยู่ในเหตุการณ์และหน้าลูกมึงกูก็จำได้ดี  พิธีต่าง ๆ ที่เตรียมทหารกูก็ไปกับมึง  วันรับกระบี่กูก็ไปถ่ายรูปคู่กับลูกมึงทำไมกูจะจำลูกมึงไม่ได้  และลูกมึงก็จำได้ว่าไอ้คนที่มันยิงคือลูกของกู  ทำไมลูกมึงทำได้ลงคอ  มึงสอนลูกให้เป็นคนอำมหิตฆ่าคนที่เคยเห็นหน้าคร่าตากันได้อย่างไร"

วันนั้นพ่อถามลูกว่า  "วันนี้ลูกได้ฆ่าคนหรือเปล่า"  ใช่ไหม  แล้วลูกตอบพ่อว่าอะไรลูกจำได้ไหม  ลูกตอบพ่อว่า  "ไม่รู้สิ  ฆ่ามั้งแม่งเสือกออกมาก่อความวุ่นวายกันเอง"  แล้วลูกจำได้ไหมว่าพ่อถามอะไรต่อไปอีก  "แล้วทำไมต้องถึงกับฆ่ากับแกงกัน"  ลูกได้ตอบว่า  "ไม่ฆ่าแล้วจะปล่อยให้มันเพ่นพ่านเหมือนหมากลางถนนอย่างนี้เหรอ"

ลูกพ่อ...  มันเป็นความผิดของพ่อเองที่เลี้ยงลูกแบบให้ตัดสินใจเอง  ลูกทำดีมาตลอดแต่พ่อก็ลืมมองมุมลึกลงไปว่าการตัดสินใจของคนโดยขาดซึ่งมโนธรรมเป็นความผิด  และตรงนี้ที่พ่อรับไม่ได้กับการที่ลูกเป็นอย่างนี้เพราะหน้าที่หาความสำเร็จและการศึกษาเป็นของลูกแต่มโนธรรมผู้เป็นพ่อต้องคอยปลูกฝัง  แต่พ่อคิดแต่ว่าจะให้ลูกมีอนาคตในวันข้างหน้าโดยไม่ถูกใครเหยียบหัวเลยสอนลูกให้แกร่งกล้าคิดกล้าทำ  โดยที่พ่อลืมไปว่าคนเรานั้นถ้าไม่ถูกเขาเหยียบหัวก็ต้องเหยียบหัวคนอื่น  และคนที่เหยียบหัวคนอื่นอยู่นั้นถ้ามีความอำมหิตอยู่ในตัวมันสามารถทำทุกอย่างเพื่อทำให้คนอื่นถูกเหยียบจนจมดินได้  และลูกก็เป็นหนึ่งในนั้น

ลูกอาจจะบอกว่านี่คือหน้าที่ของทหาร นายสั่งมาก็ต้องทำ  แต่ลูกคงลืมไปว่านายสั่งมาอย่างไรแต่ ณ ตรงนั้นลูกมีอำนาจตัดสินใจเต็มที่  นายของลูกไม่มีสิทธ์สั่งลั่นไกในเวลานั้น  เพราะการตัดสินใจของลูกทำให้คนหนึ่งคนต้องตาย  และพ่อกล้ายืนยันว่าคน ๆ นั้นก็ถูกเลี้ยงดูและถูกให้ความรักจากคนเป็นพ่อเป็นแม่มาอย่างเดียวกับที่ลูกได้รับ   พ่อไม่อาจทนได้ที่ต้องอยู่ในโลกนี้โดยถูกตราหน้าว่าลูกเป็นฆาตกรคร่าชีวิตคนบริสุทธิ์  พ่อทนไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องอยู่บนโลกนี้โดยรู้อยู๋เสมอว่าลูกของพ่อฆ่าคนที่เขามีพ่อมีแม่  ลูกของพ่อ ลูกเคยได้ยินคำนี้ไหมว่า   ถ้าพ่อแม่เจ็บแทนลูกได้ก็จะเจ็บแทนและถ้าตายแทนได้ก็จะตายแทน

เพื่อนของพ่อ  อาอุ๊ของลูกทุกวันนี้แทบไม่เป็นผู้เป็นคนเขาเสียลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไปลูกที่เขารักยิ่งกว่าชีวิตของเขาเอง  ลูกที่เข้าหวังจะฝากผีฝากไข้ไว้ในอนาคต  ลูกไปยิงเขาตายมันเหมือนชีวิตเขาถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ลูกคงไม่ได้ข่าวเพราะลูกคงกำลังมีความสุขกับดาวบนบ่าที่เพิ่มขึ้น  แต่พ่ออยากบอกว่า  เมื่อวานนี้ อาอุ๊ของลูกผูกคอตายคาขื่อบ้าน  อาอุ๊ไม่ได้โง่หรอกลูกแต่เขารับไม่ได้ที่ลูกชายคนเดียวของเขาต้องมาตายจากไปด้วยสภาพไม่ต่างจากหมาข้างถนน

พ่อรู้ดีว่าความตายของลูกชายอาอุ๊คงหาตัวคงผิดมาลงโทษไม่ได้  แต่พ่อก็รู้อยู่แก่ใจว่าใครทำ  ดังนั้นพ่อขอทำหน้าที่ของพ่อที่ดีเป็นครั้งสุดท้าย  พ่อมองไม่เห็นหนทางเลยว่าจะชดใช้สองชีวิตที่เสียไปเพราะการตัดสินใจของลูกได้อย่างไร  พ่อไม่เห็นหนทาง  แต่พ่อก็มีทางคือตามไปเป็นข้ารับใช้สองพ่อลูกนั่น  ไม่ว่าเขาทั้งคู่จะอยู่บนสวรรค์หรือนรกพ่อก็จะตามไป

ลูกเทพที่รักของพ่อ  ขอให้ลูกได้รู้ว่าพ่อรักลูกเสมอและไม่ว่าจะอยู่ที่ใดพ่อก็จะคอยดูแลลูกและมองลูกจากข้างหลัง  แม้วันนี้พ่อจะไม่อยู่กับลูกแต่ความรักของพ่อที่มีต่อลูกไม่ได้ตายตามพ่อไปเลย 

พ่อขอสอนลูกเป็นครั้งสุดท้าย  หวังว่าลูกคงจะรับฟังคำสอนครั้งนี้  การตัดสินใจของมนุษย์ดีชั่วอยู่เพียงชั่วแล่น  เมื่อลูกมีอำนาจที่จะฆ่าใครได้ขอให้ลูกตัดสินใจให้ดีคิดถึงอกเขาและอกเรา  ขอให้ลูกคิดเสมอว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกนี้เกิดมาต้องมีพ่อมีแม่ทุกคน  อำนาจไม่ได้อยู่ที่การตัดสินใจว่าจะฆ่าหรือไม่  แต่อำนาจที่แท้จริงของความเป็นคนคือ  การใช้อำนาจอย่างรอบคอบและคงไว้ซึ่งความเมตตาต่อตนเองและผู้อื่น

พ่อลาลูกล่ะ  หมอคงตรวจไม่พบหรอกว่าพ่อเสียชีวิตเพราะอะไร  อย่างเก่งเขาก็คงคิดว่าพ่อกินปลาปักเป้าแล้วโดนพิษมันเสียชีวิตเท่านั้นเอง  แต่พ่อหวังว่ามันคงไม่เจ็บมาก  พ่อแก่แล้วไม่อยากจากโลกนี้ไปอย่างเจ็บปวด  พ่ออาบน้ำแล้วกำลังจะเตรียมสวดมนต์   และหลังจากสวดมนต์จบ  พ่อต้องทำบางสิ่งอย่างที่ควรต้องทำ

ปล.  อย่าลืมบวชนะลูกนะ แม้พ่อไม่ได้เห็นตอนมีชีวิตอยู่  เมื่อพ่อจากไปแล้วมองลูกมาจากอีกโลกได้เห็นผ้าเหลืองของลูก  พ่อก็คงอิ่มใจ

รักลูกเสมอ

พ่อ

น้ำตาไหลออกจากตาไม่หยุด  แม้วาระสุดท้ายของชีวิตพ่อก็ทำเพื่อผม  ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่พ่อทำนั้นถูกต้องหรือไม่อย่างไร  แต่ผมก็แน่ใจว่าพ่อตัดสินใจแบบนี้เพราะผมจริง ๆ  ผมไม่ขอย้อนเวลากลับไปแล้วเพราะมันเป็นไปไม่ได้และผมก็ขี้ขลาดไม่กล้าที่จะปลิดชีวิตลงเพื่อรับผิดชอบความผิดที่ก่อขึ้น

ผมเป็นคนฆ่าแต่พ่อก็ขอเป็นคนที่มารับผิด  ผมเช็ดน้ำตาออกผมเชื่อว่าพ่อไม่ต้องการเห็นน้ำตาของผู้เป็นลูก  ผมพับจดหมายและเก็บเข้าสมุดก่อนจะพิงตัวลงกับฝาบ้านมือลูบไล้ไปตรงจุดที่พ่อของผมนอนตาย   ม่านตาเหมือนหดตัวเล็กแสงสีต่าง ๆ ไม่ผ่านเข้าไปแต่ในหัวใจกระตุ้นเร่งให้สมองขับแสงหนึ่งมาบังตา   ใช่แล้ว  มันเรียกว่า  สีแห่งผ้ากาสาวพักตร์  สีที่ผมจะเอามันห่อหุ้มตัวไปตลอดชีวิตโดยหวังในใจลึก ๆ ว่า  มันจะชดเชยบาปที่ผมได้ทำลงไปและทำให้พ่อที่ยืนมองจากที่ไกล ๆ ได้สุขอารมณ์

ปล.  นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่คิดส่งมติชน  แต่ตอนจบมีสองแบบ  ดังนั้นระหว่างที่จะตัดสินใจเลือกว่าจะจบแบบไหน  ก็เลยกำหนดการส่งไปอีกหนึ่งเรื่อง  นะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น